Alice in Wonderland
............
ในต้นฉบับร่างแรกของลูอิส แครอลล์หรือชาร์ล ดอดจ์สัน ไม่มีเนื้อหาสำคัญหลายตอน อาทิ The Caucus Race, Pig and Pepper และ A Mad Tea-Party ต่อมาชาร์ลได้ไปขอคำแนะนำจาก จอร์จ แมคโดนัล (George MacDonald) นักเขียนนิยายสำหรับเด็กและนำไปแก้ไข พร้อมให้จอห์น เทนเนียล(John Tenniel) เป็นผู้วาดภาพประกอบ จนกระทั่ง ‘Alice’s Adventures in Wonderland’ ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรกเสร็จสิ้นในปี 1865 แต่ประสบปัญหาเรื่องคุณภาพงานพิมพ์จึงไม่ได้วางจำหน่าย ก่อนนำมาพิมพ์ใหม่อีกครั้งในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน (แต่ในเล่มกลับระบุว่าออกในปี 1866)
หลังจากนั้น โลกส่วนหนึ่งก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ ‘Alice’s Adventures in Wonderland’ อย่างไม่ต้องสงสัย
นอกจากอลิซ สาวน้อยวัย 7 ขวบตัวละครเอกของเรื่องซึ่งแทบไม่ต้องเดาก็น่าจะพอรู้ว่ามีต้นแบบมาจากอลิซ ลิดเดลล์ เพื่อนตัวน้อยผู้ขอให้ลูอิส แครอลล์เขียนนิยายเรื่องนี้ออกมา ตัวละครอีกหลายตัวใน ‘Alice’s Adventures in Wonderland’ ก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน อาทิ แฮทเทอร์ (The Hatter) - คนทำหมวกในงานปาร์ตี้น้ำชาสุดคลั่งซึ่งมีบุคลิกโดดเด่นจนคนนำไปเขียนการ์ตูนขยายเฉพาะเรื่องราวของเขา แถมยังแอบไปปรากฏกายในหนังสือการ์ตูนเรื่องอื่นอีกหลายเล่ม ที่เด่นๆ เช่นตัวละครชื่อ The Mad Hatter (หรืออีกนามหนึ่ง Jervis Tetch) ในการ์ตูนเรื่องแบทแมน ผู้คอยเอาแต่พร่ำพูดประโยคจากหนังสือของลูอิส แครอลล์
............
เช่นเดียวกับกระต่ายขาว (White Rabbit) - ผู้นำพาอลิซเข้าสู่ดินแดนมหัศจรรย์ ก็กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดกระต่ายสาวชื่อ White Rabbit หนึ่งในศัตรูคู่อริของสไปเดอร์แมน (โดยมีหลักฐานยืนยันแน่นหนาคือก่อนจะกลายเป็น White Rabbit เธอชื่อโลริน่า ดอดจ์สัน มีสามีเป็นชายแก่ชื่อลูอิส ดอดจ์สัน แถมเธอยังชื่นชอบ Alice's Adventures in Wonderland เอามากๆ) หลายคนคาดเดากันว่าตัวละครนี้อาจได้ต้นแบบมาจากพ่อของอลิซ ลิดเดลล์ชื่อ ดีน ลิดเดลล์ (Dean Liddell)
..........
หนอนผีเสื้อ (Caterpillar) – ตัวละครซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นสัญลักษณ์ของการใช้ยาเสพติด และเป็นต้นเหตุให้เกิดข้อสงสัยว่าลูอิส แครอลล์เมายาขณะกำลังเขียนนิยายเรื่องนี้หรือเปล่า เพราะหนอนผีเสื้อกำลังสูบยาเส้นตอนที่อลิซพบเขาครั้งแรก ทว่าเหล่าสาวกหนังสือของลูอิส แครอลล์ยืนกรานปฏิเสธโดยบอกว่าเป็นเพียงข่าวลือที่กลุ่มผู้ใช้ LSD พยายามกุขึ้นเพื่อให้ยาชนิดนี้ถูกใช้อย่างแพร่หลายในสังคม
...........
แมวเชสเซอร์(Cheshire Cat)-แมวหายตัวได้ซึ่งต่อมากลายเป็นชื่ออัลบั้มชุดแรกของ Blink 182 วงดนตรีพังค์ร๊อคชื่อดัง และยังปรากฏอยู่ในเพลง ‘Jigsaw Falling Into Place’ จากอัลบั้ม In Rainbows ของวงดนตรีล้ำสมัยอย่าง Radiohead หรือกระทั่งราชินีโพธิ์แดง (The Queen of Hearts) ซึ่งคาดเดากันว่าเป็นการล้อเลียนราชินีวิคตอร์เรีย โดยลูอิส แครอลล์เคยกล่าวไว้เพียงว่าราชินีโพธิ์แดงเป็นสัญลักษณ์ของการใช้อำนาจและการระบายความโกรธเกรี้ยวแบบไร้ทิศทาง
...........
จุดเด่นอีกประการหนึ่งซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ชื่นชอบใน ‘Alice’s Adventures in Wonderland’ คือบทสนทนาที่ เหมือนจะเรียบง่าย ทว่ามีนัยยะแอบแฝง สามารถตีความได้หลายแง่มุม ดังเช่นตัวอย่างบทสนทนาต่อไปนี้
....
“แต่ฉันไม่อยากอยู่ท่ามกลางคนบ้า” อลิซเอ่ย
“โอ้ เธอไม่สามารถทำอะไรกับมันได้” แมวกล่าว “พวกเราทั้งหมดที่นี่เป็นบ้า ฉันบ้า เธอก็บ้า”
“เธอรู้ได้อย่างไรว่าฉันบ้า” อลิซถาม
“เธอจะต้องเป็นเช่นนั้น” แมวตอบ “หรือไม่เธอก็ไม่ควรมาที่นี่”
(จาก Alice’s Adventures in Wonderland บทที่ 6)
....................
“ได้โปรดช่วยบอกฉันได้ไหม ทางไหนจะพาฉันออกไปจากที่นี่ได้”
“นั่นขึ้นอยู่กับว่าเธออยากจะไปที่ไหน” แมวพูด
“ฉันไม่ได้สนใจนักหรอกว่าเป็นที่ไหน” อลิซกล่าว
“งั้นมันก็ไม่สำคัญหรอกว่าทางไหนที่เธอจะไป” แมวกล่าว
“หมายถึงว่าตราบเท่าที่มันจะพาฉันไปที่ไหนสักแห่ง” อลิซอธิบายเพิ่มเติม
“โอ้ เธอต้องทำอย่างนั้นได้แน่นอนอยู่แล้ว” แมวพูด “แค่เธอต้องเดินให้นานมากพอ”
(จาก Alice’s Adventures in Wonderland บทที่ 6)
ด้วยองค์ประกอบดังที่กล่าวมาทำให้ ‘Alice’s Adventures in Wonderland’ ยังคงได้รับการกล่าวขวัญแม้จะมีอายุยาวนานกว่า 140 ปี ถูกแปลมาแล้วมากกว่า 10 ภาษาทั่วโลก รวมถึงเป็นวัตถุดิบสำคัญในการนำไปสร้างเป็นผลงานหลากรูปแบบทั้งทางตรงและทางอ้อม อาทิ งานเขียน การ์ตูน ภาพยนตร์ ดนตรี ละครเวที ละครโทรทัศน์ เกมส์ ไปจนถึงชื่ออาการบางอย่างทางการแพทย์ (โรค Alice in Wonderland Syndrome ผู้ป่วยจะมีอาการรับรู้ขนาดของสิ่งรอบตัวแตกต่างจากความเป็นจริง เช่น เห็นแมวตัวเท่าหนู เป็นต้น)
หนึ่งในงานดัดแปลงจาก ‘Alice’s Adventures in Wonderland’ ซึ่งรู้จักกันในวงกว้างคือ ‘Alice in Wonderland’ หนังการ์ตูนแอนิเมชั่นเรื่องที่สิบสามของวอลต์ ดิสนีย์ในปี 1951 ตัวหนังโดนวิจารณ์ค่อนข้างมากจากแฟนหนังสือของลูอิส แครอลล์ เช่นเดียวกับพวกนักวิจารณ์ในอังกฤษซึ่งกล่าวหาว่า วอลต์ ดิสนีย์ใส่ความเป็นอเมริกันลงไปในวรรณกรรมเรื่องเยี่ยมของประเทศอังกฤษ ตัวดิสนีย์เองไม่ได้ประหลาดใจกับเสียงวิจารณ์เหล่านั้น เขาบอกว่าอลิซในฉบับของเขาเหมาะกับการดูเป็นครอบครัวใหญ่ไม่ใช่สำหรับนักวิจารณ์วรรณกรรม
ส่วนเหตุผลที่วอลต์ ดิสนีย์เลือกนำ Alice’s Adventures in Wonderland มาทำเป็นฉบับการ์ตูน เล่ากันว่ามาจากซีรี่ส์ชื่อ 'the Alice Comedies' เกี่ยวกับเด็กสาวผู้มีตัวตนจริงคนหนึ่งซึ่งท่องไปในโลกการ์ตูนพร้อมกับแมวชื่อ Julius (หน้าตาคล้ายคลึงกับ Felix the Cat) ซีรี่ส์เรื่องนี้ถือเป็นความสำเร็จแรกของวอลต์ ดิสนีย์ในฐานะโปรดิวเซอร์ ทำให้เขาตั้งใจจะนำ Alice’s Adventures in Wonderland มาทำเป็นฉบับการ์ตูนนับตั้งแต่นั้น
อย่างไรก็ตาม หนังการ์ตูนเรื่องนี้ไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก คนดูบางคนรู้สึกว่าดิสนีย์ไม่สามารถจับบรรยากาศและอารมณ์ขันอันชาญฉลาดของลูอิส แครอลล์ได้ โดยดิสนีย์โทษว่าเป็นเพราะผู้แสดงขาดจิตวิญญาณของความเป็นอลิซ ความสำเร็จซึ่งยอมรับกันในวงกว้างจากการ์ตูนเรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นด้านดนตรี โดยเฉพาะเพลง ‘I'm Late’ และ ‘The Unbirthday Song’ เป็นสองเพลงที่ได้รับความนิยมมากในช่วงเวลานั้น
ล่าสุด ‘Alice in Wonderland’ กำลังจะกลายเป็นฉบับภาพยนตร์อีกครั้งโดยฝีมือ Tim Burtonและที่ขาดไม่ได้คือ จอห์นนี่ เดปป์ (Johnny Depp) กับบทบาท The Hatter นี่เป็นบทพิสูจน์ว่าวรรณกรรมสุดพิเศษเรื่องนี้ยังทรงคุณค่าแม้จะมีอายุมากกว่า 140 ปีแล้วก็ตาม...
อลิซเริ่มรู้สึกเบื่อกับการนั่งเล่นริมน้ำกับพี่สาว ไม่มีอะไรให้ทำสักนิด เธอชะโงกหน้าไปดููหนังสือที่พี่อ่านสองสามครั้ง ในนั้นไม่มีรูปภาพหรือบทสนทนาให้เห็น “อ่านหนังสือจะสนุกได้ไง” อลิซคิดในใจ “ถ้าไม่มีภาพหรือคำพูดเลย”
เธอกำลังลังเลใจ (คิดอะไรไม่ออก เพราะอากาศร้อนทำให้ง่วงเหงาซึมเซา) ว่าถ้าลุกไปเก็บดอกเดซ่ีมาร้อยมาลัย จะสนุกคุ้มค่าเหนื่อยหรือไม่ ทันใดนั้น มีกระต่ายขนปุยสีขาวตาสีชมพูตัวหนึ่งวิ่งเฉียดเธอไป
นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกมากแต่อย่างใด และอลิซเองก็ไม่ได้ได้คิดอะไรมากเมื่อหูเธอได้ยินเสียงเจ้ากระต่ายบ่นพึมพำ ”โอ้ย..แย่แล้ว ! แย่แน่…ฉันไปไม่ทันแน่ !” (ภายหลังเมื่อเธอคิดทบทวนดูก็นึกได้ว่าตัวเองน่าจะประหลาดใจกับสิ่งนี้บ้าง แต่ในตอนนั้นเธอกลับเห็นเป็นเรื่องธรรมดา) ต่อเมื่อเจ้ากระต่ายดึงนาฬิกาออกจากกระเป๋าเสื้อกั๊ก ออกมาดูแล้วรีบโดดหย็องแหย็งต่อไป อลิซจึงได้ลุกพรวดขึ้นเพราะเริ่มสะดุดใจว่า เธอไม่เคยเห็นกระต่ายที่ไหนสวมเสื้อกั๊กและพกนาฬิกามาก่อน ด้วยความกระหายใคร่รู้ เธอออกวิ่งไล่กวดมันไปในทุ่ง โชคดีที่ทันเห็นเจ้ากระต่ายผลุบหายเข้าไปในโพรงใต้แนวรั้ว
อลิซมุดตามไปติดๆ ไม่ได้คิดเลยว่าแล้วเธอจะกลับออกมาอย่างไร
โพรงกระต่ายทอดยาวไปตรงๆเหมือนอุโมงค์แล้วหักลงล่าง อลิซหยุดไม่ทันจึงพบว่า ตัวเองกำลังร่วงหล่นลอยละลิ่วลงไปในโพรงลึก
โพรงนั้นอาจจะลึกมาก หรือไม่ก็ตัวเธอร่วงลงไปช้ามาก อลิซจึงมีเวลาเหลือเฟือที่จะเหลียวมองไปรอบๆและนึกสงสัยว่าเธอกำลังจะไปเจอกับอะไร อันดับแรก เธอพยายามก้มมองลงไปเบื้องล่างว่ามีอะไรรออยู่บ้าง แต่มันมืดจนมองไม่เห็น เธอจึงมองไปที่่ผนังรอบๆ แล้วพบว่ามันเต็มไปด้วยชั้นวางถ้วยกาแฟกับหิ้งหนังสือ มีแผนที่และรูปภาพปักหมุดติดไว้ตรงนั้นนิดตรงนี้ หน่อย เธอเอื้อมมือไปคว้าโถแก้วใบหนึ่งที่วางอยู่บนชั้นระหว่างที่ล่องลอยผ่านลงไป มันมีฉลากปิดไว้ว่า”แยมผิวส้ม” แต่น่าผิดหวังที่โถใบนั้นว่างเปล่า อลิซไม่อยากโยนทิ้งเพราะเกรงว่าจะไปโดนใครเข้า เธอจึงวางมันคืนไว้บนชั้นที่ลอยผ่านไป
“เอาละ..” อลิซคิด “เจอเข้าแบบนี้ ต่อไปฉันจะไม่เล่นกลิ้งลงบันไดอีกแล้ว ! คนที่บ้านคิดว่าฉันกล้ามาก! ฉันไม่ควรจะเล่าให้ใครฟัง ต่อให้ตกจากหลังคาบ้านก็เถอะ” (นั่นมีแนวโน้มจะเป็นจริงมากด้วย)
ร่วง...ลิ่ว...ลิ่ว..ลงไป ไม่มีที่สิ้นสุดเลยรึไง “ฉันร่่วงลงมากี่ไมล์แล้วนี่..”เธอบ่นดังๆ ”คงใกล้ถึงใจกลางโลกแล้วมั้ง งั้นก็เท่ากับว่าฉันลงมาได้สี่พันไมล์แล้ว” (อลิซเรียนรู้อะไรหลายอย่างจากห้องเรียน ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่ใช่โอกาสเหมาะที่จะอวดภูมิรู้ของตัวเอง เพราะว่าไม่มีผู้ฟัง แต่ก็ดีแล้วที่ได้ฝึกท่องจำ) “ใช่..คงมาได้ประมาณนั้นละ แล้วฉันก็ยังสงสัยว่ากำลังอยูู่่ตรงเส้นรุ้งเส้นแวงที่เท่าไหร่ด้วย?” (อลิซไม่รู้ว่าเส้นรุ้งเส้นแวงคืออะไร แต่เธอรู้สึกดีที่ได้พูดคำเท่ๆแบบนี้ )
แล้วเธอก็พูดต่อว่า ”จะพุ่งทะลุโลกเลยรึเปล่าเนี่ย! คงตลกมากถ้าโผล่ไปเจอกับผู้คนที่เดินเอาหัวทิ่มลงต่างเท้า! รู้สึกจะเรียกกันว่า โลกที่กลับหัว มนุษย์หัวกลับ The Antipathies--“ (คราวนี้เธอแอบดีใจเล็กๆที่ไม่มีใครฟังอยู่ เพราะนี่คงไม่ใช่คำที่ถูกต้อง ) “- -ฉันคงต้องถามพวกเขาล่ะว่านี่มันประเทศไหนกัน ช่วยบอกหน่อยเถอะค่ะ คุณผู้หญิง..ว่าที่นี่ประเทศนิวซีแลนด์หรือออสเตรเลียกันแน่คะ?” (เธอลองทำท่าถอนสายบัวไปด้วย —ลองนึกภาพดูซิว่า ท่าถอนสายบัวกลางอากาศจะเป็นอย่างไร คุณทำได้มั้ยล่ะ?) “แต่ถ้าถามแบบนั้น คุณผู้หญิงนั่นคงคิดว่าฉันเป็นเด็กที่โง่มาก งั้นไม่ถามดีกว่า ฉันจะลองหาดูตามป้ายแล้วกัน”
ลิ่ว...ลิ่ว...ลิ่ว ต่อไป ในเมื่อไม่มีอะไรที่พอทำได้ อลิซจึงพูดต่ออีกว่า ”คืนนี้เจ้าดินาห์คงคิดถึงฉันแย่!” (ดินาฮ์คือแมวของเธอ) ”หวังว่าเมื่อถึงเวลาดื่มชา พวกเขาจะไม่ลืมเติมจานใส่นมของมัน ดินาห์จ๋า! ฉันอยากให้เจ้าลงมาอยู่ที่นี่กับฉันเหลือเกิน แต่ว่ากลางอากาศแบบนี้ไม่มีหนูให้จับน่ะสิิ เจ้าจับค้างค้าวแทนได้รึเปล่า? หน้าตามันเหมือนกับหนูเลย..รู้มั้ย เอ..ว่าแต่แมวจะกินค้างค้าวได้ไหมเอ่ย?” ถึงจุดนี้ อลิซเริ่มง่วงแล้ว แต่ปากก็ยังพูดพึมพำไปเรื่อยๆ ”แมวกินค้างคาวมั้ย? แมวกินค้างคาวมั้ย?” และบางครั้งก็พูดสลับกันเป็น ”ค้างค้าวกินแมวมั้ย?” แต่นั่นก็ไม่สำคัญนักหรอก เพราะว่าเธอเองก็ตอบไม่ได้ทั้งสองคำถาม อลิซเริ่มสัปหงกแล้วฝันว่า เธอกำลังเดินเกี่ยวก้อยไปกับเจ้าดินาห์แล้วหันไปถามมันอย่างจริงจัว่า ”ดินาห์..บอกความจริงกับฉันซิว่าเจ้าเคยกินค้างคาวบ้างหรือเปล่า?” แล้วทันใดนั้น โครม...โครม...โครม ร่างเธอหล่นลงมากลางกองกิ่งไม้และใบไม้แห้ง การตกโพรงสิ้นสุดลงแล้ว
อลิซไม่เจ็บตัวเลยสักนิด เธอรีบลุกขึ้นแหงนหน้ามองขึ้นไป เบื้องบนมีแต่ความมืดมิด แต่ ตรงหน้าเธอมีช่องทางยาวที่เจ้ากระต่ายขาวตัวนั้นกำลังวิ่งเห็นหลังไวๆ อลิซไม่รอช้า ออกวิ่งจี๋เหมือนลมพายุ จนทันได้ยินเสียงเจ้ากระต่ายพูดก่อนเลี้ยวลับมุมไป “โอย..หูกับหนวดจ๋า จะไปไม่ทันแล้ว!” เธอตามไปติดๆ แต่เมื่อพ้นหัวโค้งเจ้ากระต่ายก็หายไปแล้ว อลิซพบตัวเองยืนอยู่บนห้องโถงที่ทอดยาวและลาดต่ำ มีตะเกียงแขวนเรียงเป็นแถวห้อยจากเพดาน
โถงนี้มีีประตูรายรอบแต่ปิดล็อคสนิททุกบาน อลิซเดินเข้าไป พยายามเปิดประตููทีละบานจนครบหมดทุกด้าน เธอเดินคอตกไปที่กลางห้อง เริ่มหวาดหวั่นว่าจะหาทางออกจากที่นี่ไม่ได้
พลันเธอก็เหลือบไปเห็นโต๊ะเล็กสามขาตัวหนึ่ง ทำด้วยแก้วกระจกใสล้วนๆ บนนั้นไม่มีอะไรวางอยู่นอกจากกุญแจทองขนาดจิ๋วดอกหนึ่ง ความคิดวูบแรกของอลิซคือ มันน่าจะใช้ไขเปิดประตูบานใดบานหนึ่งในห้องโถงนี้ได้ แต่ก็..เฮ้อ! รูกุญแจใหญ่เกินไป หรือไม่ลูกกุญแจดอกเล็กเกินไป จะทำอย่างไรก็คงไขเปิดประตูไม่ได้ แต่แล้ว เมื่อเธอเดินวนเป็นรอบที่สองก็เหลือบไปเห็นแถบผ้าม่านเตี้ยๆที่เธอไม่ได้สังเกตมาก่อน และหลังผ้าม่านก็คือประตบานูเล็กๆ สูงสิบห้านิ้วเห็นจะได้ เธอลองสวดกุญแจทองเข้าไปในรู แล้วยิ้มออกเมื่อมันเข้ากันได้พอดี !
อลิซเปิดประตูออกไปพบกับช่องทางที่่ใหญ่กว่ารูหนูไม่มากนัก เธอคุกเข่าก้มลงมอง ตรงสุดช่องทาง ปรากฏภาพสวนสวยน่ารักที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นมา เธออยากจะออกจากห้องโถงมืดๆไปเดินชมแปลงดอกไม้สีสดกับแอ่งน้ำพุสวยๆนั่นเหลือเกิน แต่ก็จนปัญญา เพราะแม้แต่จะมุดหัวเข้าไปก็ยังทำไม่ได้ “ต่อให้ฉันมุดหัวเข้าไปได้..” อลิซผู้น่าสงสารคิด ”ก็ไม่มีประโยชน์ถ้าหัวไหล่ยังติด โธ่..ฉันอยากให้ตัวเองพับเก็บได้เหมือนกล้องส่องทางไกลเหลือเกิน! ฉันน่าจะทำอย่างนั้นได้นะ ขอเพียงให้รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไงเท่านั้น” เห็นมั้ยว่า.. อลิซเจอเรื่องแปลกประหลาดมามากมายเสียจน เธอเองก็เริ่มจะคิดว่าเหลือเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้นที่เป็นไปไม่ได้จริงๆ
ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะรีรออยู่หน้าประตูเล็กนี่ เธอคิดแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะตัวนั้น ตั้งความหวังลมๆแล้งๆว่าน่าจะเจอกุญแจอีกสักดอก หรืออย่างน้อยก็พบตำราบอกวิธีหดย่อตัวคนเหมือนกล้องส่องทางไกลที่ยืดหดได้ แต่คราวนี้เธอพบขวดน้ำขวดหนึ่งอยู่บนโต๊ะ (ตะกี๊มันไม่ได้อยู่ตรงนั้นแน่ๆ) รอบคอขวดมีฉลากพิมพ์อักษรสวยงามตัวโตๆว่า ”ดื่มฉันสิ”
ถ้อยคำ”ดื่มฉันสิ”ฟังดูง่ายๆไม่มีพิษภัย แต่สาวน้อยอลิซผู้ชาญฉลาดจะต้องไม่รีบร้อนทำตามนั้น “ไม่..ฉันต้องดูดีๆก่อนว่ามันมีคำว่า “ยาพิษ”ติดอยู่ด้วยรึเปล่า่” อลิซพูด เธอเคยอ่านเรื่องเก่าๆที่มีเด็กถูกไฟลวก ถูกสัตว์ป่าจับกิน หรือต้องเผชิญกับสิ่งเลวร้ายต่างๆนานา ก็เพราะดื้อ ไม่ยอมจดจำกฎเกณฑ์ง่ายๆที่พวกเพื่อนๆพร่ำบอก เช่น เหล็กเขี่ยเตาผิงที่ปลายข้างหนึ่งร้อนแดงจะไหม้มือพองถ้าถือไว้นานๆ และถ้ามีดบาดมือเป็นแผลลึก เลือดก็จะไหล เธอไม่เคยลืมว่า ถ้าดื่มอะไรจากขวดที่มีตัวหนังสือเขียนว่า”อันตราย” มันจะออกฤทธิ์ไม่ช้าก็เร็ว
แต่ขวดใบนี้ไม่มีเครื่องหมายว่า”เป็นพิษ” อลิซก็เลยลองจิบดู แล้วพบว่ารสชาติมันดีมาก (คล้ายๆเชอรี่-ทาร์ท,คัสตาร์ด,สับปะรด,ไก่งวงย่าง,ท็อฟฟี่และขนมปังปิ้งทาเนยร้อนๆผสมกัน) เธอติดใจจนซดซะเกลี้ยงขวด
* * * * * * *
* * * * * *
* * * * * *
“ชักรู้สึกแปลกๆแฮะ!” อลิซบ่น ”สงสัยตัวฉันจะหดสั้นได้เหมือนกล้องส่องทางไกล”
แล้วมันก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ ตัวเธอหดเล็กลงจนเหลือความสูงแค่สิบนิ้ว เธอยิ้มแป้นเมื่อคิดได้ว่า ตัวเธอเล็กพอจะเดินผ่านประตูบานกระจ้อยนั้นออกไปยังสวนอันงดงามได้แล้ว แต่เธอต้องรอดูอีกสองสามนาทีก่อนว่า ตัวเองจะหดเล็กลงกว่านี้หรือไม่ คิดขึ้มาแล้วก็เริ่มวิตกกังวล ”มันน่าจะหยุดแล้วนะ” เธอปลอบใจตัวเอง “ถ้าฉันหดลงเรื่อยๆเหมือนแท่งเทียนไข แล้วฉันจะเป็นอย่างไรต่อไป?” เธอพยายามนึกภาพว่าเปลวเทียนจะเป็นอย่างไรเมื่อเทียนดับไปแล้ว เธอจำไม่ได้ว่าเคยเห็นอะไรแบบนั้นบ้างหรือเปล่า
เธอรอจนแน่ใจว่าไม่เกิดอะไรขึ้นอีกแล้ว จึงได้ตัดสินใจเดินเข้าไปสู่สวนนั้น ทว่า..อลิซผู้น่าสงสาร..ขณะที่เดินไปถึงประตู เธอก็นึกออกว่าลืมกุญแจทองไว้บนโต๊ะ เมื่อกลับไปหามันที่โต๊ะ เธอก็พบว่าตัวเองเล็กจ้อยจนเอื้อมไม่ถึง เธอแหงนมองผ่านโต๊ะกระจกใสเห็นมันวางอยู่ที่เดิม เธอพยายามป่ายปีนขาโต๊ะขึ้นไป แต่มันช่างลื่นเหลือเกิน หลังจากตะเกียกตะกายจนหมดแรง หนูน้อยผู้น่าสงสารก็ได้แต่ทรุดตัวลงนั่งร้องไห้
“ไม่เอาน่ะ...ร้องไห้แล้วจะ่ได้อะไรขึ้นมา!” อลิซบอกตัวเองเสียงเข้ม ”ฉันขอแนะนำให้เธอเลิกคิดถึงมันเดี๋ยวนี้เลย!” เธอมีคำแนะนำดีๆให้้ตัวเองเสมอ (แต่ไม่ค่อยปฏิบัติตามนั้น) บางครั้งเธอก็ดุว่าตัวเองแรงๆจนน้ำตาร่วง จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่เธอพยายามจะตบหูตัวเองที่ไปโกงตัวเองเข้าตอน่เล่นเกมโครเกต์[1]กับตัวเอง หนูน้อยแสนซนคนนี้ชอบจินตนาการว่าตนมีสองร่าง “แต่ตอนนี้่จะแบ่งภาคเป็นสองร่างไม่ได้แล้ว” อลิซรำพึง “ก็เพราะตัวฉันหดเหลือเล็กจิ๊ดเดียวจนแทบไม่ใช่คนหนึ่งคนแล้ว !”
แล้วเธอก็เหลือบไปเห็นกล่องแก้วเล็กๆใบหนึ่งอยู่ใต้โต๊ะ เธอหยิบมาเปิดดู ในนั้นมีก้อนขนมเค้กขนาดจิ๋ว หน้าเค้กมีตัวอักษรที่บรรจงเขียนด้วยครีมแต่งหน้าเค้กว่า”กินฉันสิ” อลิซบอกตัวเองว่า ”ลองดูแล้วกัน ถ้ามันทำให้ฉันตัวโตขึ้น ฉันจะได้หยิบกุญแจ แล้วถ้ามันทำให้ตัวฉันเล็กลงอีก ฉันก็จะได้คลานลอดประตูออกไป จะแบบไหนฉันก็จะเข้าไปในสวนได้เหมือนกัน ฉันไม่สนหรอกว่ามันจะเป็นแบบไหน!”
เธอกัดกินเค้กแค่คำเล็กๆ แล้วพึมพำอย่างกระวนกระวายใจ ”จะออกแบบไหน..ใหญ่หรือเล็ก ?” พลางเอามือกุมศีรษะไว้เพื่อจะได้สัมผัสดูว่าตัวเองโตขึ้นหรือเล็กลง แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าเธอยังตัวเท่าเดิม แน่นอน..คนที่หม่ำเค้กมากๆก็เป็นแบบนี้ทุกราย แต่สิ่งที่อลิซคาดหวังนั้นไม่ธรรมดา มันคงจำเจน่าเบื่อพิลึกหากต้องดำเนินชีวิตต่อไปตามปกติแบบเดิมๆ
เธอจึงนั่งลงตั้งอกตั้งใจหม่ำเค้กจนหมดก้อน
* * * * * * *
* * * * * * *
* * * * * * *
[1]เกม”โครเกต์”(Croquet) คือเกมตีลูกบอลลอดห่วงของชาวยุโรป เล่นในสนามหญ้า
[ยังมีต่อ]