ภาพวาดโดเรียน เกรย์
The Picture of Dorian Gray
ภาพวาดโดเรียน เกรย์
ออสการ์ ไวลด์ : เขียน
กิตติวรรณ ซิมตระการ : แปล
จิตราภรณ์ วนัสพงศ์ : บรรณาธิการ
’ปราย พันแสง : คำนิยมชมชื่น
งานศิลปะชิ้นเยี่ยม!ในรูปแบบนวนิยาย เฉียบคม แสบสันต์ ราวกับเป็นหนังสือรวมฮิตคำคมของออสการ์ ไวลด์
ภาพวาดโดเรียน เกรย์ (The Picture of Dorian Gray) เป็นเรื่องราวชีวิตชวนพิศวงของชายหนุ่มรูปงาม ผู้มีนามว่า โดเรียน เกรย์ เจ้าของภาพวาดพิสดาร ที่เก็บความลับในจิตวิญญาณของบุคคลในภาพไว้อย่างแยบยล
ใครจะคาดคิด เมื่อรูปโฉมสมบูรณ์แบบของชายหนุ่มกลายเป็นอมตะ ขณะที่ภาพวาดแห่งจิตวิญญาณของเขากลับผุกร่อนเน่าเปื่อยลงเรื่อยๆ จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ “ภาพวาดแก่ชราแทนเจ้าของภาพ” แล้วคนผู้นั้นสามารถทำ “บาป” โดยไม่ต้องรู้สึกผิดหรืออย่างไร
นี่คือนวนิยายอื้อฉาวที่สุดแห่งศตวรรษที่ 19
ที่ยังคงมีชื่อเสียงและจะต้องเป็นที่โจษจันเล่าขานกันต่อไปอีกหลายศตวรรษ
“ภาพเหมือนทุกภาพที่ถูกวาดขึ้นมาด้วยความรู้สึก มันเป็นภาพเหมือนของศิลปินไม่ใช่ของต้นแบบ คนที่เป็นแบบให้วาด นั้นเป็นแค่อุบัติเหตุ เป็นเพียงเหตุการณ์เท่านั้น ไม่ใช่เขาถูกจิตรกรเปิดเผยโฉม แต่เป็นจิตรกรต่างหาก ที่เปิดเผยตัวเองผ่านผืนผ้าใบสี”
“ภาพวาดที่ดีที่สุดในชีวิตของจิตรกร จะไม่มีใครได้พบเห็นอีกต่อไป ก็เพราะจิตรกรเกรงว่าจะได้เปิดเผยความลับทางจิตวิญญาณของตนไว้ในภาพมากเกินไปแล้ว”
ออสการ์ ไวลด์ เป็นที่ยกย่อง ในฐานะนักเขียนผู้ปราดเปรื่อง อื้อฉาว เจ้าของคำคมมากมาย ที่ผู้คนมักจะหยิบยกมาเอ่ยอ้างถึง คำคมที่มีชื่อเสียงของเขา ล้วนรวมอยู่หนังสือเล่มนี้เกือบทั้งหมด!
“ตัวอักษร ของออสการ์ ไวลด์ เปรียบประหนึ่งเพชรเม็ดงาม ที่เปล่งประกายระยิบระยับในท่ามกลางทะเลเพชร และอัญมณีเลอค่าเหล่านั้น พร้อมจะร่วงลงมาเป็นของคุณทุกครั้งที่พลิกหน้ากระดาษ ---นี่คือหนังสือของคนรักหนังสือโดยแท้, ห้ามพลาดอย่างเด็ดขาด!” ‘ปราย พันแสง คำนิยมชมชื่น
เกี่ยวกับผู้เขียน : ออสการ์ ไวลด์
กับภาพวาดโดเรียนเกรย์ และผลงานงานวรรณกรรม
ออสการ์ ไวลด์ (Oscar Wilde) เป็นชาวไอริช เกิดเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 1854 ที่กรุงดับลิน บิดาของเขาเป็นศัลยแพทย์ด้านจักษุศาสตร์ที่มีชื่อเสียง ส่วนมารดาเป็นกวี
ครอบครัวของเขานับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนต์ เขาได้เข้ารับการศึกษาในวิทยาลัยทรินิตี้ ในกรุงดับลิน ก่อนไปศึกษาต่อในวิทยาลัยแม็กดาเล็น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ทำให้เขาได้ค้นพบกับสุนทรียศาสตร์ ได้เรียนรู้และชื่นชมความสวยงามทางด้านศิลปะ กวี ดนตรี และสิ่งของสวยงามอื่น ๆ อย่างเช่น เสื้อผ้าอาภรณ์
ขณะเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดนั้น เขาได้รับรางวัลนิวดิเกต (Newdigate Prize) จากผลงานกวีนิพนธ์ เมื่อจบการศึกษา ในปี 1881 เขาได้ตีพิมพ์หนังสือรวมบทกวีเล่มแรก แต่ไม่ประสบความสำเร็จนัก โดยได้รับผลการตอบรับที่ไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะจากนักวิจารณ์
ในปี 1884 เขาเริ่มทำงานให้กับหนังสือพิมพ์พอลล์ มอลล์ กาเซตต์ ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ที่มีชื่อเสียงมากในกรุงลอนดอน ในปีเดียวกันนั้น เขาได้แต่งงานกับคอนสแตนซ์ ลอยด์ มีบุตรชายด้วยกันสองคน
ในปี 1887 ออสการ์ ไวลด์ได้เข้าไปทำงานเป็นบรรณาธิการให้กับนิตยสารเลดี้ส์เวิลด์ ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นวูแมนส์เวิลด์ และหลังจากนั้นต่อมา ไวลด์ได้เริ่มตีพิมพ์ผลงานการเขียนของเขา
ในปี 1888 ไวลด์ได้ตีพิมพ์หนังสือรวบรวมนิทานเรื่อง The Happy Prince and Other Talesร่วมกับเดวิด นัตต์
ในปี 1889 ไวลด์ได้ตีพิมพ์เรื่อง The Picture of W.H. มีเนื้อหาเกี่ยวกับบทกวีของเช็คสเปียร์ ในปีนั้นเอง เจ.เอ็ม สตอดดาร์ด ได้เชิญให้ไวลด์ส่งผลงานเข้ามาตีพิมพ์ในนิตยสารรายเดือนลิปปอนคอต ซึ่งเป็นนิตยสารที่กำลังได้รับความนิยมในตอนนั้น และได้รับการตีพิมพ์ทั้งในประเทศอังกฤษและอเมริกา
ในปี 1890 ไวลด์ได้ตีพิมพ์นวนิยายเรื่องเดียวในชีวิตของเขาชื่อเรื่องว่า The Picture of Dorian Gray ลงในนิตยสารรายเดือนลิปปอนคอต ซึ่งเป็นการตีพิมพ์ครั้งแรก และมีเพียง 13 บทเท่านั้น
ซึ่งในปีถัดมา ไวลด์ได้ตีพิมพ์นวนิยายเรื่อง The Picture of Dorian Gray นี้ เป็นฉบับรวบรวม และเพิ่มไปอีก 7 บท กลายเป็น 20 บท และมีการแก้ไขเนื้อหาบางส่วน
ในช่วงแรกๆ ที่วางจำหน่ายนั้น ยอดจำหน่ายหนังสือไม่ค่อยดีนัก รวมทั้งได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิจารณ์ในยุคนั้นว่าเป็นหนังสือไร้จริยธรรม แต่ภายในปีเดียวนั้นเอง ยอดขายก็กระเตื้องขึ้น ในช่วงนี้เองที่ไวลด์ได้พบกับอัลเฟรด ดักลาส ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นคู่รักและเพื่อนคู่ใจของเขา
ในปี 1892 ไวลด์ได้เขียนบทละครตลกเสียดสีสังคมเรื่องแรก ชื่อเรื่อง Lady Windermere’s Fan ในปีถัดมา ไวลด์ได้เขียนบทละครเวทีตลกเสียดสีสังคมเป็นเรื่องที่สอง มีชื่อเรื่องว่า A Woman of No Importance
ในปี 1895 ไวลด์ได้เขียนบทละครตลกเสียดสีสังคมเรื่องที่สาม มีชื่อเรื่องว่า An Ideal Husbandและเรื่องที่สี่คือ The Importance of Being Earnest ในปีนี้เองที่ไวลด์ถูกฟ้องร้องในข้อหาได้กระทำการสังวาสอย่างผิดธรรมชาติ (ทวารหนัก) ถูกตัดสินจำคุก 2 ปี จากข้อหากระทำการบัดสีกับชายผู้อื่นในที่รโหฐาน และจะต้องทำงานรับใช้อย่างหนักในคุก
ในปี 1897 ไวลด์ได้เขียนจดหมายความยาวประมาณ 30,000 คำไปหาดักลาส โดยต่อมาในปีนั้น โรเบิร์ต รอส ผู้ดูแลมรดกทางวรรณกรรมของเขา ได้นำจดหมายฉบับนี้ไปตีพิมพ์ โดยให้ชื่อว่า De Profundis ในปีนี้ ไวลด์ได้พ้นโทษ และย้ายออกไปพำนักที่เมืองดิเอปเป ประเทศฝรั่งเศส
หลังจากนั้นต่อมา มีรายงานว่า ไวลด์มีทรัพย์สินติดตัวไม่มากนัก ต้องย้ายที่พำนักไปมาระหว่างประเทศฝรั่งเศสและอิตาลี แต่ไม่เคยกลับมาที่อังกฤษหรือไอร์แลนด์อีกเลย แต่ถึงกระนั้น ด้วยความรักในศิลปะอย่างยิ่งยวด ไวลด์ก็ยังคงสร้างผลงานต่อมาเรื่อย ๆ เช่น บทละครเรื่อง Mr. and Mrs. Daventry ที่เขียนขึ้นมาในปี 1900
ในปี 1900 นั้นเอง ไวลด์ก็เริ่มล้มป่วยลง โดยยังคงมีรอสเป็นผู้ดูแล และในวันที่ 30 พฤศจิกายนในปีนั้น ขณะที่นอนป่วยอยู่ เขาได้เปลี่ยนศาสนาไปนับถือนิกายโรมันคาทอลิก และในที่สุด เขาก็เสียชีวิตลงด้วยโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ศพของเขาได้รับการฝังที่สุสานบาก์โนในวันที่ 2 ธันาคมของปีนั้น โดยรอสรับหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบเรื่องพิธีกรรมต่างๆ และในปี 1909 ศพของไวลด์ได้เคลื่อนย้ายมาฝังที่สุสานแปร์ ลาแซส ในกรุงปารีส
ผลงานของ ออสการ์ ไวลด์ ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก เขามักจะเขียนเรื่องตลกร้ายกระทบกระเทียบสังคมชั้นสูงได้อย่างปราดเปรื่อง ทำให้มีคนติดตามผลงานของเขามากมาย ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้น ไวลด์ยังมีชื่อเสียงในด้านการแต่งกาย เพราะเขานั้นหลงใหลไปกับสุนทรียศาสตร์ที่ว่าด้วยสิ่งสวยงามต่าง ๆ ในโลก
ภาพวาดโดเรียน เกรย์ นี้ เป็นนวนิยายเพียงเรื่องเดียวในชีวิตการเขียน ของออสการ์ ไวลด์ เป็นผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำหลายต่อหลายครั้ง และมีชื่อเสียงในทางอื้อฉาวที่สุด
หลายเสียงวิจารณ์ว่า หนังสือเล่มนี้คือหนังสือที่ไร้ศีลธรรม ครั้งแรกที่นวนิยายได้รับการตีพิมพ์รวมเล่ม นักวิจารณ์ได้ออกโรงมาวิจารณ์ถึงนิยายเรื่องนี้อย่างสาดเสียเทเสีย แม้แต่กระทั่งตอนที่ไวลด์ต้องขึ้นศาลในคดีฟ้องร้องของตนนั้น ทางศาลได้มีการอ่านเนื้อความบางส่วนในนวนิยายเรื่องนี้ และอ้างว่าเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ว่า ไวลด์คือพวกรักร่วมเพศ และต้องโดนดำเนินคดี
นอกจากนั้น ภาพวาดของโดเรียน เกรย์ นั้นยังถือว่าเป็นนวนิยายเรื่องสุดท้ายในหมวดของโกธิคทริลเลอร์ ที่มีการผสมผสานเรื่องราวลึกลับพิศวงและเรื่องราวความสัมพันธ์แบบโฮโมเซ็กช่วลเข้าไว้ด้วยกันอย่างประณีต ด้วยเหตุนี้เอง ภาพวาดโดเรียน เกรย์ จึงได้รับความนิยมอ่านและเป็นที่กล่าวขานเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้
ออสการ์ ไวลด์ ได้รับการยกย่องให้เป็นนักเขียนบทละครที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในยุควิคตอเรีย และยังคงได้รับการยกย่องและมีชื่อเสียงมาจวบจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้ ยังมีการสร้างรูปปั้นเพื่อเป็นเกียรติให้เขาที่เมอร์เรียน สแควร์ ในกรุงดับลิน บ้านเกิดของเขาอีกด้วย
สำคัญที่สุดเหนืออื่นใด นอกจากสร้างสรรค์ผลงานวรรณกรรมชั้นเลิศทิ้งไว้บนโลกเรามากมาย ออสการ์ ไวลด์ ยังเป็นที่ยกย่องอย่างมาก ในฐานะนักเขียนผู้ปราดเปรื่อง อื้อฉาว เขาจึงเป็นที่รู้จักในฐานะเจ้าของคำคมมากมาย ที่ผู้คนมักจะหยิบยกมาเอ่ยอ้างถึงทุกยุคทุกสมัย
คำคมที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ของเขานั้น
มีอยู่ในนวนิยายเรื่อง ภาพวาดโดเรียน เกรย์ เล่มนี้เกือบทั้งหมด
ดังเช่นคำคมเกี่ยวกับศิลปะวรรณกรรม โดยครั้งหนึ่ง เขาเคยกล่าวว่า
“ไม่มีหรอกนะ ไอ้สิ่งที่ว่า หนังสือที่มีศีลธรรม และหนังสือไร้ศีลธรรมนั่นน่ะ
จะมีก็แต่หนังสือที่เขียนดี กับ หนังสือที่เขียนเลว เท่านั้นเอง”
เกี่ยวกับผู้แปล : กิตติวรรณ ซิมตระการ
จบการศึกษาระดับปริญญาตรี จากคณะวิทยาศาสตร์ วิทยาการคอมพิวเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้ไปศึกษาต่อด้านไอทีที่ประเทศออสเตรเลีย เมื่อกลับมา ก็ลองแปลบทความเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ลงตีพิมพ์ในนิตยสาร จากตอนแรกที่ทำเป็นงานอดิเรก ก็เริ่มมีงานเข้ามาเรื่อยๆ จึงตัดสินใจสมัครเข้าเรียนต่อในหลักสูตรการแปลและล่าม คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยความใฝ่ฝันว่าเมื่อจบออกมาสักวันหนึ่งจะได้มีโอกาสแปลนวนิยายภาษาต่างประเทศบ้าง เพราะเป็นคนที่ชอบอ่านนวนิยายทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศมาตั้งแต่เด็ก สำหรับนวนิยายแปล “ภาพวาดโดเรียน เกรย์” เล่มนี้ เป็นผลงานแปลนวนิยายเล่มแรกของเธอ
จากใจผู้แปล : กิตติวรรณ ซิมตระการ
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้ารูปภาพของเรา จะต้องแบกรับบาปกรรมที่เรากระทำมาทั้งชั่วชีวิตแทนเรา? จะเกิดอะไรขึ้น หากรูปภาพของเรานั้น จะต้องแบกรับความโหดร้ายของชราภาพของเราไว้ และต้องเหี่ยวเฉา หย่อนยาน ส่วนตัวเราเองนั้น กลับเก็บความสดใส และความงดงามของเยาว์วัยไว้?
เราจะฉวยโอกาสนั้นไว้ และกระทำการโดยไม่ได้คิดถึงผลที่ตามมาหรือไม่ ไม่ว่าการกระทำนั้น จะดีหรือเลว ไม่ว่าจะเป็นบุญหรือบาป ในเมื่อเรารู้ตัวว่า เราจะรอดตัวจากผลลัพธ์การกระทำนั้น ๆ เพราะมีสิ่งอื่นที่มารับผลแทนเรา
แต่ท้ายที่สุดแล้วนั้น ไม่มีใครหนีจิตสำนึกของเราเองไปได้ กรรมที่เราได้ทำไป ผลของมันจะตามมาหลอกหลอนเราทั้งยามกลางวันและกลางคืน ทั้งเมื่อเราหลับตาลง หรือลืมตามองโลกที่งดงาม ผลของมันนั้นจะเวียนวนอยู่ในห้วงคำนึงของเราตลอดไป เหมือนดั่งไฟสุมอก เมื่อนั้น ไม่มีใครหลีกหนีกรรมของตนเองไปได้ และเราจะต้องพ่ายให้แก่จิตใจของเราเอง
หนังสือ “ภาพวาดโดเรียน เกรย์” นี้ ประพันธ์โดย ออสการ์ ไวลด์ นักเขียนชาวไอริช ผู้เป็นตำนานแห่งโลกวรรณกรรม ผู้มีมุมมองศิลปะและชีวิตที่น่าสนใจ และบางครั้ง สร้างความกังขาในสายตาของคนทั่วไป ผลงานการประพันธ์ชิ้นนี้ เป็นนวนิยายเล่มเดียวที่เขาแต่ง และก่อให้เกิดข้อคำถามและข้อโต้แย้งมากมาย ไวลด์เคยกล่าวไว้ว่า “หนังสือที่คนทั้งโลกเรียกว่า หนังสือที่ไร้จริยธรรมนั้น แท้จริงแล้ว เป็นหนังสือที่แสดงให้คนทั้งโลกเห็นถึง ความอัปยศของพวกเขาเอง”
ขอขอบคุณพี่วรฐ ที่ช่วยหาบทแปลเรื่องโรมิโอ และ จูเลียต ที่ทรงพระราชนิพนธ์แปลโดย พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ผู้ทรงเป็นพระอัจฉริยะในด้านการแปลของประเทศไทย ข้าพเจ้าซาบซึ้งในพระปรีชาสามารถของพระองค์เป็นล้นพ้น
ขอขอบคุณน้องธงสุดเก๋ ที่ช่วยดูบทกลอนภาษาฝรั่งเศสให้
ขอขอบคุณอาจารย์ที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ที่ช่วยประสิทธิ์ประสาทความรู้ทางด้านการแปลมาให้
ในท้ายที่สุดนี้ ขอขอบคุณสำนักฟรีฟอร์ม ที่ให้โอกาสได้รู้จัก ได้อ่าน
และแปลวรรณกรรมชิ้นเอกของโลกเล่มนี้
The Picture of Dorian Gray
ภาพวาดโดเรียน เกรย์
บทที่ 1 (ในจำนวน 20 บท)
สำหรับทดลองอ่าน
The Picture of Dorian Gray By Oscar Wilde
Original English Language
Thai Language Translation
Copyright © 2009 by Freeformbooks,
© สงวนลิขสิทธิ์โดยฟรีฟอร์มสำนักพิมพ์ ในนามบริษัท ลมดี จำกัด ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดของหนังสือเล่มนี้ไปลอกเลียน ทำสำเนา ถ่ายเอกสาร หรือนำไปเผยแพร่ในอินเตอร์เน็ต หรือสื่อชนิดอื่นๆ ไม่ว่าในรูปแบบใด นอกจากจะได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น
[*เนื่องจากเนื้อหาบทที่ 1 ของภาพวาดโดเรียน เกรย์ ค่อนข้างยาว การนำลงบล็อกจึงมีปัญหาเรื่องการจัดแบ่งวรรคตอนค่อนข้างมาก ทางทีมงานกำลังทยอยแก้ไข ต้องขออภัย]
The Picture of Dorian Gray
ภาพวาดโดเรียน เกรย์
บทที่ 1
ในห้องสตูดิโอนั้น มีกลิ่นกุหลาบอบอวลไปทั่ว และเมื่อลมอ่อนๆ ของฤดูร้อนพัดมากระทบต้นไม้ในสวน กลิ่นของดอกไลแลคหรือกลิ่นน้ำหอมอ่อนละมุนของดอกไม้สีชมพูล่องลอยผ่านเข้ามาทางประตูที่เปิดกว้าง
ลอร์ด เฮนรี วัตตัน นอนเอกเขนกอยู่บนที่นอนพรมเปอร์เซียพลางสูบบุหรี่จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน จากตรงนั้นเอง เขามองเห็นแสงที่ฉายรังรองมาจากดอกไม้ที่มีสีและกลิ่นหอมหวานปานน้ำผึ้งของต้นราชพฤกษ์ กิ่งก้านของมันแลดูราวกับไม่อาจจะรับน้ำหนักของความงามดังเปลวเพลิงของช่อดอกไว้ได้
บางครั้งบางคราว ก็มีเงาอันแสนอัศจรรย์ของหมู่นกโฉบไปตามแนวยาวม่านซึ่งทำจากผ้าไหมทาซาร์ซึ่งเหยียดอยู่เบื้องหน้าหน้าต่างบานใหญ่ ก่อให้เกิดภาพที่ดูเหมือนภาพวาดของญี่ปุ่นชั่วครู่หนึ่ง และทำให้เขานึกถึงเหล่าจิตรกรใบหน้าหยกแห่งโทะกิโอะผู้หาหนทางถ่ายทอดความรู้สึกที่เคลื่อนไหวและการฉวัดเฉวียนผ่านงานศิลปะ ที่ไม่เปิดโอกาสให้มีการขยับเขยื้อนของสรรพสิ่งใดเลย
เสียงกรุงลอนดอนคำรามดังราวกับเสียงออร์แกนโน้ตต่ำที่อยู่ไกลออกไป ตรงกลางห้องนั้น มีภาพวาดเหมือนจริงแบบเต็มตัวติดตั้งอยู่บนขาตั้ง เป็นภาพของชายหนุ่มผู้มีความงามอย่างเหนือธรรมดา
ในขณะที่จิตรกรผู้นี้กำลังจ้องมองภาพวาดเด่นสง่าและงดงามอย่างยิ่งยวดที่เขาได้ถ่ายทอดด้วยความชำนาญลงเป็นงานศิลปะ รอยยิ้มแห่งความปีติก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขา และดูเหมือนจะยังคงอ้อยอิ่งอยู่เช่นนั้น
แต่ทันใดนั้น เขาก็เหมือนจะได้สติ เขาหลับตาลงพร้อมกับวางนิ้วลงบนเปลือกตาทั้งสองข้าง ราวกับว่าต้องการจะปิดกั้นความฝันชวนฉงนฉงายไว้ในสมองไม่ให้มันหลุดหายไปไหนด้วยความกลัวว่าเขาจะตื่น
“นี่เป็นผลงานที่ดีที่สุดของเจ้าเลยนะ บาซิล งานที่ดีที่สุดที่เจ้าเคยสร้าง” ลอร์ดเฮนรีกล่าวด้วยน้ำเสียงเนือยๆ “ปีหน้าเจ้าต้องส่งงานชิ้นนี้ ไปที่กรอสเวเนอร์ให้ได้ ที่อคาเดมีกว้างใหญ่และหยาบเกินไป เวลาข้าไปที่นั่นทีไร ถ้าคนไม่เยอะเกินไปจนดูรูปไม่ได้ ซึ่งมันแย่มากหรือไม่ก็มีรูปเยอะเกินไปจนไม่มีโอกาสได้พบปะผู้คน ข้าว่า กรอสเวเนอร์เป็นที่เดียวที่เหมาะสม”
“ข้าไม่ได้คิดว่าควรจะส่งไปที่ไหน” เขาตอบ พร้อมทั้งทิ้งศีรษะไปข้างหลังด้วยท่วงท่าแปลกๆ ที่มักทำให้เพื่อนของเขาที่มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดหัวเราะ
“ไม่ล่ะ ข้าจะไม่ส่งไปที่ไหนเลย”
ลอร์ด เฮนรีเลิกคิ้ว และมองดูเขาด้วยความฉงนสนเท่ห์
ผ่านควันบุหรี่สีฟ้าบางๆ ที่ม้วนตัวขึ้นเป็นวงวิจิตรจากปลายมวนบุหรี่ผสมฝิ่นของเขา “ไม่ส่งไปทีไหนเลยงั้นหรือ ทำไมอย่างนั้นละ เพื่อนรัก เพราะอะไรกัน? พวกจิตรกรนี่ช่างพิลึกคน! พวกเจ้ายอมทำทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียง แต่พอได้มา ก็กลับอยากจะโยนทิ้งไป ช่างเป็นการกระทำที่โง่เขลาเหลือเกิน ในโลกนี้ มีเพียงแค่อย่างเดียวที่แย่กว่าการได้รับการกล่าวขวัญถึง นั่นก็คือ การที่ไม่มีใครพูดถึงเลย ภาพเขียนอย่างนี้ จะทำให้เจ้าอยู่เหนือชายหนุ่มทุกคนในอังกฤษ และทำให้ชายชราต่างต้องอิจฉา ถ้าพวกเขายังสามารถมีอารมณ์ใดๆ ได้อยู่น่ะน่ะ”
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องหัวเราะเยาะ” เขาตอบ “แต่ข้าไม่สามารถแสดงภาพนี้ได้หรอก ข้าใส่ตัวเองลงไปในภาพนี้มากเกินไป”
ลอร์ด เฮนรี ยืดตัวขึ้นพลางหัวเราะ
“ใช่ ข้ารู้ว่าเจ้าต้องทำอย่างนั้น แต่ถึงอย่างไร มันก็เป็นความจริง”
“ใส่ตัวเองลงไปในรูปมากเกินไปอย่างนั้นหรือ ให้ตายสิ บาซิล ข้าไม่ยักรู้ว่าเจ้าก็เป็นคนหลงตัวเองเหมือนกัน ข้าไม่เห็นว่าชายในภาพ นี้ จะเหมือนเจ้าตรงไหนสักนิดเดียว ใบหน้าหยาบขรุขระ และผมดำเหมือนถ่านของเจ้า กับพ่อเทพอะโดนิส ที่ดูราวกับว่าเขาถูกสร้างขึ้นจากงาช้างและกลีบกุหลาบ ทำไมหรือ บาซิล เขาเป็นเทพนาร์ซิสซัส ส่วนเจ้า...
จริงอยู่ เจ้ามีเค้าของความฉลาดเฉลียวและอะไรทำนองนั้น แต่ความงามที่แท้จริงนั้นน่ะหรือ สิ้นสุดลงตรงจุดที่สีหน้าทรงภูมิปัญญาเริ่มต้นขึ้น ภูมิปัญญาโดยตัวของมันเองเป็นรูปแบบของการขยายความให้เกินจริง และทำลายความสอดคล้องกลมกลืนของทุกใบหน้า เมื่อใครสักคนนั่งลงครุ่นคิด ใบหน้าของคนๆ นั้นก็เหมือนจะมีแต่แค่จมูก หรือไม่ก็มีแค่หน้าผาก หรืออะไรที่แสนจะสะพรึงกลัว ดูคนผู้ประสบความสำเร็จจากวิชาชีพที่ต้องเรียนรู้สิ พวกเขาช่างน่าเกลียดอะไรเช่นนั้น! แน่ละ ยกเว้นในโบสถ์
แต่ก็นั่นล่ะ เวลาอยู่ในโบสถ์พวกเขาไม่ต้องคิดอะไร บาทหลวงต้องเทศน์ในเรื่องเดิมๆ แบบที่เขาได้รับการสอนมาตั้งแต่อายุ 18 จนตอนนี้อายุ 80 ปีแล้ว ดังนั้น ผลที่เกิดขึ้นตามมาก็เลยทำให้เขามีใบหน้าตาแช่มชื่นอย่างยิ่งไม่เปลี่ยนแปลง เพื่อนผู้ลึกลับของเจ้า ที่เจ้าไม่เคยบอกว่าเขาชื่ออะไร แต่ภาพของเขาที่ทำให้ข้าพิศวงอย่างนี้ เขาไม่เคยคิด ข้ารู้สึกมั่นใจว่าเป็นเช่นนั้น เขาเป็นสัตว์โลกผู้งดงามและไร้สมอง ผู้สมควรอย่างยิ่งที่จะอยู่กับเราในห้องนี้ตลอดฤดูหนาวเวลาที่เราไม่มีดอกไม้ให้ชื่นชม และในยามฤดูร้อนเมื่อเราต้องการบางสิ่งมาคลายความร้อนรุ่มของภูมิปัญญาลงไปบ้าง อย่ายกยอตัวเองไปเลย บาซิล เจ้าไม่เหมือนเขาสักนิด”
...
“เจ้าไม่เข้าใจข้า แฮร์รี” ศิลปินตอบ “แน่นอน ข้าไม่เหมือนเขา ข้ารู้ดีอยู่แล้ว อันที่จริง ข้าควรจะเสียใจด้วยซ้ำถ้ามีหน้าตาเหมือนเขา เจ้ายักไหล่อย่างงั้นหรือ? ข้ากำลังพูดความจริง ความโดดเด่นในทางกายภาพและภูมิปัญญานั้นล้วนมีความหายนะทั้งสิ้น ความหายนะที่เหมือนคอยตามรอยเท้าที่อ่อนแอลงเรื่อยๆ ของพระราชา การที่เราแตกต่างจากเพื่อนพ้องของเราย่อมจะดีกว่า คนอัปลักษณ์และคนโง่ถือว่าโชคดี
ที่สุดแล้วในโลกนี้ พวกนั้นสามารถนั่งชมละครไปได้สบายใจ ถ้าพวกเขาไม่เคยรู้อะไรเลยเกี่ยวกับชัยชนะ ก็จะไม่รับรู้ถึงความพ่ายแพ้ พวกเขาใช้ชีวิตอย่างที่พวกเราควรจะใช้ ไม่ถูกรบกวน เฉยเมย และปราศจากความ
กระสับกระส่าย พวกเขาไม่เคยนำหายนะไปสู่ผู้อื่น และก็ไม่เคยได้รับความหายนะจากน้ำมือของใครที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งและลาภยศของเจ้านะ แฮร์รี สมองของข้า งานศิลปะของข้า ไม่ว่าจะมีค่ามากเพียงใดก็ตาม รูปโฉมอันงดงามของโดเรียน เกรย์ พวกเราล้วนต้องทนทุกข์ทรมานจากสิ่งที่พระเจ้ามอบให้เรา ทุกข์อย่างแสนสาหัสเลยเทียว”
“โดเรียน เกรย์ นั่นคือชื่อของเขางั้นหรือ” ลอร์ด เฮนรี ถามขณะเดินข้ามห้องสตูดิโอมาหาบาซิล ฮอลวาร์ด
“ใช่ นั่นคือชื่อของเขา ข้าไม่ได้ตั้งใจจะบอกเจ้า”
“ทำไมล่ะ”
“โอ ข้าอธิบายไม่ได้หรอก เวลาที่ข้าชอบใครอย่างยิ่งยวด ข้าไม่เคยบอกชื่อเขากับใคร เพราะมันเหมือนการยอมสละบางส่วนของเขาไป ข้าชอบความลับในความรัก มันดูเหมือนเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ชีวิตสมัย ใหม่มีความลึกลับหรือน่าพิศวงขึ้นมาได้ สิ่งที่ธรรมดาที่สุดจะเป็นสิ่งที่แสนรื่นรมย์หากเราเพียงแค่ซ่อนมันไว้ เวลาที่ข้าออกนอกเมือง ข้าไม่เคยบอกคนของข้าว่าจะไปไหน เพราะถ้าทำอย่างนั้นข้าก็คงสูญเสียความรื่นรมย์ในชีวิต มันเป็นนิสัยที่เหลวไหล ข้ากล้าพูด แต่ก็ดูเหมือนจะนำความโรแมนติกเข้ามาสู่ชีวิตของคนๆ หนึ่งได้มาก ข้าเดาว่าเจ้าคงคิดว่าข้าโง่งมอย่างร้ายกาจเลยใช่ไหม?”
“ไม่เลย” ลอร์ดเฮนรีตอบ “ไม่เลย บาซิลที่รัก ดูเหมือนเจ้าจะลืมไปว่าข้าแต่งงานแล้ว และเสน่ห์อย่างหนึ่งของการแต่งงานก็คือมันทำให้ชีวิตแห่งความหลอกลวงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับทั้งสองฝ่าย ข้าไม่เคยรู้ว่า ภรรยาของข้าอยู่ที่ไหน และภรรยาของข้าก็ไม่รู้ว่าข้าทำอะไรอยู่ เวลาที่เราพบกัน เราก็พบปะกันบ้างเป็นบางครั้ง เวลาที่เราออกไปรับประทานอาหารเย็นข้างนอกด้วยกัน หรือไปหาท่านดยุค เราต่างเล่าเรื่องที่โง่เขลาที่สุดให้กันฟังด้วยสีหน้าที่จริงจังมากที่สุด ภรรยาของข้าเก่งเรื่องนี้มาก อันที่จริงแล้ว เก่งมากกว่าข้าเป็นไหนๆ เธอไม่เคยสับสนเรื่องวันที่เลย ในขณะที่ข้าสับสนประจำ และเวลาที่ภรรยาของข้าจับได้ เธอก็ไม่เคยหาเรื่องทะเลาะด้วยเลย บางครั้ง ข้ายังนึกอยากให้เธอโมโหโกรธาบ้างแต่เธอก็ได้แต่หัวเราะเยาะข้าเท่านั้นเอง”
“ข้าไม่ชอบวิธีที่เจ้าเล่าถึงชีวิตแต่งงานของตัวเองเลย แฮร์รี” บาซิล ฮอลวาร์ดกล่าว พลางเดินทอดน่องไปยังประตูบานที่เปิดออกสู่สวน “ข้าเชื่อว่าเจ้าเป็นสามีที่ดีมากๆ แต่เจ้ากลับอับอายในความดีของตัวเอง เจ้า
เป็นคนพิเศษ เจ้าไม่เคยพูดเรื่องศีลธรรม แต่เจ้าก็ไม่เคยทำสิ่งที่ผิด การกระทบกระเทียบตัวเองเป็นเพียงการวางท่าเท่านั้นเอง”
“การทำตัวเป็นธรรมชาตินี่สิเป็นการวางท่า และเป็นการวางท่าที่น่าหงุดหงิดที่สุดที่ข้าเคยประสบมา”ลอร์ด เฮนรีร้องแล้วก็หัวเราะ ชายหนุ่มทั้งสองก็เดินออกไปยังสวนด้วยกัน ก่อนจะทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่ที่ตั้งอยู่ใต้ร่มเงาของพุ่มลอเรลสูงตระหง่าน แสงตะวันส่องผ่านใบไม้มันปลาบ บนพื้นหญ้า เดซี่สีขาวพลิ้วไหวไปมาหลังจากหยุดไปขณะหนึ่ง ลอร์ด เฮนรีก็ดึงนาฬิกาพกออกมาจากกระเป๋า
“ข้าเกรงว่าจะต้องไปแล้วล่ะ บาซิล” เขาพึมพำ
“และก่อนจะไปข้ายืนกรานว่าให้เจ้าตอบของคำถามที่ข้าถามไปก่อนหน้านี้”
“คำถามอะไรหรือ” จิตรกรย้อมถาม ดวงตาตรึงแน่นอยู่ที่พื้น
“เจ้ารู้ดีว่าข้าถามอะไรไป”
“ข้าไม่รู้ แฮร์รี”
“ถ้างั้น ข้าจะบอกเจ้าว่า คำถามคืออะไร ข้าต้องการให้เจ้าอธิบายว่าทำไมถึงไม่ยอมนำภาพวาดของโดเรียน เกรย์ ออกแสดง ข้าต้องการได้ยินเหตุผลที่แท้จริง”
“ข้าบอกเหตุผลที่แท้จริงไปแล้ว”
“ไม่ เจ้าไม่ได้บอก เจ้าพูดแต่ว่า เพราะว่าภาพนั้นมีตัวตนของเจ้าอยู่มากเกินไป เหตุผลไร้สาระเหลือเกิน”
“แฮร์รี” บาซิล ฮาวเวิร์ดฮอลวาร์ด กล่าว พลางจ้องหน้าลอร์ด เฮนรีตรงๆ “ภาพเหมือนทุกภาพที่วาดขึ้นมาด้วยความรู้สึก เป็นภาพเหมือนของศิลปินไม่ใช่ของต้นแบบ คนที่เป็นแบบเป็นแค่อุบัติเหตุ เป็นเพียงเหตุการณ์เท่านั้น ไม่ใช่เขาที่ถูกเผยโฉมด้วยฝีมือจิตรกร แต่เป็นจิตรกรต่างหากที่เปิดเผยตัวเองทางผืนผ้าใบแต้มสี สาเหตุที่ข้าจะไม่แสดงภาพนี้ ก็เพราะข้ากลัวว่า ได้เปิดเผยความลับของจิตวิญญาณตนเองไว้ในภาพเสียแล้ว”
ลอร์ด เฮนรี หัวเราะ “แล้วความลับนั่นมันคืออะไรหรือ” เขาถาม
“ข้าจะบอกเจ้า” ฮอลวาร์ดกล่าว แต่แล้วความพิศวงงงงวยกลับปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
“ข้ากำลังรอฟังอยู่ บาซิล” เพื่อนของเขากล่าวต่อพลางจ้องมองเขาเขม็ง
“โอ ไม่มีอะไรจะเล่ามากนักหรอก แฮร์รี” จิตรกรตอบ “และข้าเกรงว่า เจ้าอาจไม่เข้าใจ หรืออาจจะไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำ”
ลอร์ด เฮนรี ยิ้มพร้อมโน้มตัวลงไป เด็ดดอกเดซี่กลีบชมพูขึ้นมาจากผืนหญ้าแล้วพินิจ
“ข้ามั่นใจว่าข้าจะเข้าใจ” เขาตอบ พลางจ้องเขม็งไปยังแผ่นที่ทำมาจากขนนกสีทองอันเล็ก “ส่วนเรื่องการเชื่ออะไรละก็ ข้าเชื่อได้ทุกสิ่ง ต่อให้สิ่งนั้นเป็นเรื่องที่สุดแสนจะเหลือเชื่อก็ตาม”
ลมกระชากดอกไม้ร่วงลงจากต้น ดอกไลแลคบานเต็มที่หนักอึ้ง กลุ่มดวงดาว วิบวับในห้วงอากาศที่หยุดนิ่ง ตั๊กแตนเริ่มส่งเสียงร้องอยู่ข้างกำแพง แมลงปอร่างผอมเรียวปีกสีน้ำตาลลายตาข่ายบินผ่าน มองเผินๆ ดูเหมือนด้ายสีฟ้าเส้นบาง ลอร์ด เฮนรีรู้สึกราวกับได้ยินเสียงเต้นของหัวใจของบาซิล ฮอลวาร์ด และพลางสงสัยว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนั้น
“เรื่องก็มีแค่ว่า...” จิตรกรเอ่ยขึ้น หลังจากผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง “เมื่อสองเดือนที่แล้ว ข้าไปงานเลี้ยงที่บ้านเลดี้แบรนดอน เจ้าคงรู้ว่า ศิลปินคนยากอย่างพวกเราต้องไปปรากฏตัวในงานสังคมเป็นครั้งคราว เพื่อเตือนให้สาธารณชนไม่ลืมว่า เราไม่ใช่คนบ้านป่าเมืองเถื่อนจากไหน อย่างที่เจ้าเคยบอกข้าครั้งหนึ่ง แค่ใส่เสื้อโค้ทกับผูกเนคไทสีขาว ใครๆ แม้แต่พ่อค้าหุ้นก็ได้ชื่อว่าเป็นคนมีอารยธรรมได้ เอาละ หลังจากข้าอยู่ในห้องได้ประมาณสิบนาที ยืนคุยกับหญิงสูงศักดิ์ร่างใหญ่ที่โหมแต่งตัวจนเกินงาม กับพวกนักวิชาการน่าเบื่อทั้งหลาย จู่ๆ ข้าก็รู้สึกได้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองข้าอยู่ ข้าผินหน้าไปข้างหลังนิดหนึ่ง แล้วก็ได้เห็นโดเรียน เกรย์ เป็นครั้งแรก
เมื่อสายตาของเราประสานกัน ข้าก็รู้สึกว่าตัวเองซีดเผือด แล้วความรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงก็ผุดขึ้นมา ข้ารู้ว่าข้า กำลังเผชิญหน้าอย่างจังกับใครบางคนผู้ซึ่งเพียงแค่บุคลิกของเขาก็ชวนให้หลงใหลเสียจนถ้าข้าปล่อยไปตามใจชอบ มันจะดูดซับธรรมชาติทั้งหมดของข้า จิตวิญญาณทั้งหมดของข้า และศิลปะของข้า ข้าไม่ต้องการสิ่งภายนอกใดๆ มามีอิทธิพลต่อชีวิต เจ้าก็รู้นี่ เฮนรี ว่าข้ามีอิสระมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ข้าเป็นนายตัวข้าเองมาตลอด อย่างน้อยก็เคยเป็น จนกระทั่งได้มาพบโดเรียน เกรย์
จากนั้น... แต่ข้าก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี มีบางอย่างดูเหมือนกำลังบอกข้าว่า ข้ากำลังยืนอยู่ตรงปากเหวของวิกฤติอันเลวร้ายครั้งหนึ่งของชีวิต ข้ามีความรู้สึกประหลาดว่าโชคชะตากำลังจะนำความเบิกบานอย่างยิ่งจนประมาณไม่ได้ มามอบให้ข้าพร้อมกับความเศร้าโศกสุดทนทาน ข้าเริ่มกลัว จึงหันหลังกลับเพื่อหนีออกจากห้องนั้น มันไม่ใช่สติสัมปชัญญะหรอกที่ทำให้ข้าทำอย่างนั้น แต่เป็นความขี้ขลาดต่างหาก ข้าไม่อาจสรรเสริญตัวเองที่พยายามจะหลบหนีได้หรอก”
“สติสัมปชัญญะกับความขี้ขลาด ก็คือสิ่งเดียวกันนั้นแหละ บาซิล สติสัมปชัญญะคือเครื่องหมายการค้าของบริษัท เท่านั้นเอง”
“ข้าไม่เชื่ออย่างนั้น แฮร์รี และข้าก็ไม่เชื่อว่าเจ้าเชื่อเช่นนั้นด้วย อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าอะไรคือแรงกระตุ้นของข้า อาจจะเป็นความภาคภูมิใจก็ได้ เพราะข้าเคยภูมิใจมาก ข้าก็ดิ้นรนไปยังประตู และที่นั่นเอง ข้าก็บังเอิญไปสะดุดเอาเลดี้แบรนดอนเข้า “คุณคงไม่ได้กำลังรีบหนีไปไหนหรอกนะคะ คุณฮอลวาร์ด” เธอร้อง เจ้ารู้จักเสียงแหลมช่างสอดรู้สอดเห็นของเธอดีใช่ไหม”
“ใช่ เธอน่ะเหมือนนกยูงในทุกๆ ด้านเลย ยกเว้นก็แต่ด้านความงามน่ะแหละ” ลอร์ด เฮนรี กล่าวพลางใช้นิ้วแข็งแรงเรียวยาวฉีกดอกเดซี่ออกเป็นชิ้น
“ข้าสลัดเธอออกไปไม่ได้ เธอพาข้าไปพบกับพวกราชวงศ์ขุนนางมียศตำแหน่ง และพวกหญิงชราสวมมงกุฎอันเขื่อง ที่จมูกยังกับนกแก้วหล่อนพูดถึงข้าว่าเป็นเพื่อนรักของเธอ ข้าเคยพบเธอเพียงแค่ครั้งเดียว แต่เธอก็ตั้งหน้าตั้งตายกย่องข้า ข้าเชื่อว่า ภาพเขียนบางชิ้นของข้าประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดในเวลานั้น อย่างน้อยก็ได้รับการกล่าวถึงในหนังสือพิมพ์ตลาด ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของการเป็นอมตะในศตวรรษที่ 19 ไปเสียแล้ว ทันใดนั้น ข้าก็พบว่าตนเองกำลังประจันหน้ากับชายหนุ่มผู้ที่มีบุคลิกที่ทำให้ข้าปั่นป่วนอย่างประหลาด เรายืนใกล้กันมากจนแทบจะสัมผัสกัน ตาของเราประสานกันอีกครั้งข้าประมาทไปเอง แต่ข้าขอให้เลดี้แบรนดอนแนะนำให้รู้จักกับเขา แต่มันอาจจะไม่ใช่ความประมาทเสียทีเดียว แต่มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะอย่างไรเราคงได้พูดคุยกันอยู่แล้วแม้ว่าไม่มีใครแนะนำเราให้รู้จักกันข้ามั่นใจอย่างนั้น ในภายหลังโดเรียนก็บอกเช่นนั้นเหมือนกัน เขาก็รู้สึกเช่นกันว่าโชคชะตากำหนดให้เรามารู้จักกัน”
“เลดี้แบรนดอนอธิบายลักษณะของชายหนุ่มผู้แสนวิเศษผู้นี้ว่าอย่างไรบ้างหรือ” เพื่อนของเขาถาม “ข้ารู้ว่าเธอติดบรรยายคุณสมบัติแขกของหล่อนได้อย่างกระชับและตรงไปตรงมา ข้ายังจำได้ ตอนที่เธอพาข้าไปพบกับชายชราผู้หนึ่งท่าทางก้าวร้าว หน้าแดงฉาน มียศและริบบิ้นติดเต็มตัว แล้วกระซิบข้างๆ หูข้า สาธยายรายละเอียดของชายผู้นั้น ด้วยเสียงกระซิบที่คงจะได้ยินกันไปทั่วห้อง ข้าได้แต่รีบหนีออกไปทันที ข้าอยากรู้จักคนด้วยตัวเอง แต่เลดี้แบรนดอนปฏิบัติต่อแขกของเธอ อย่างกับผู้ประมูลพูดถึงสินค้า ถ้าเธอไม่อธิบายรายละเอียดทุกอย่างของคนๆ นั้นจนหมดไส้หมดพุงเธอก็สาธยายทุกรายละเอียด ยกเว้นสิ่งที่คนอยากรู้”
“เลดี้แบรนดอนผู้น่าสงสาร เจ้าใจร้ายกับเธอจริง แฮร์รี” ฮอลวาร์ดกล่าวอย่างเฉยเมย
“เพื่อนรัก เธอน่ะเคยอยากเปิดร้านเสริมสวย แต่ทำได้แค่เปิดร้านอาหาร จะให้ข้าชื่นชมเธอได้อย่างไรเล่า ว่าแต่เธอพูดถึงนายโดเรียนเกรย์ว่าอย่างไรบ้างล่ะ”
“อ้อ พูดประมาณว่า ‘เด็กหนุ่มที่น่ารัก แม่ของเขากับข้าน่ะสนิทสนมกันมาก จนแทบขาดกันไม่ได้เลย.... แต่ลืมไปแล้วล่ะว่า เขาทำอาชีพอะไร..เกรงว่าจะไม่ได้ทำอะไรเลยน่ะสิคะ....อ้อ เล่นเปียโน เอ...หรือจะเป็นไวโอลินกันแน่ฮึ คุณเกรย์’ เราทั้งสองคนอดหัวเราะไม่ได้ แล้วเราก็กลายเป็นเพื่อนกันทันที”
“การหัวเราะเป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพที่ไม่เลวเลยนะ แถมเป็นจุดจบที่ดีที่สุดเสียด้วย” ลอร์ดหนุ่มกล่าว เด็ดดอกเดซี่มาอีกหนึ่งดอก
ฮอลวาร์ดส่ายหัว “เจ้าไม่เข้าใจหรอกว่ามิตรภาพคืออะไร แฮร์รี”เขาพึมพำ “อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าอะไรคือความเป็นศัตรู เจ้าชอบทุกคนล่ะหรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือเฉยเมยกับทุกคน”
“เจ้าช่างลำเอียงอย่างร้ายกาจ!” ลอร์ดเฮนรี ร้อง ผงกศีรษะไปด้านหลัง พลางแหงนหน้าขึ้นมองก้อนกลุ่มเมฆที่แลดูเหมือนพับผ้าไหมสีขาวที่พับไว้หลวมๆ กำลังลอยฟ่องอยู่ทั่วท้องฟ้าสีเทอร์ควอยซ์แห่งฤดูร้อน “ใช่ เจ้าลำเอียงอย่างร้ายกาจ ข้าเห็นความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงระหว่างผู้คน ข้าเลือกเพื่อนจาหน้าตา ข้าเลือกคนรู้จักจากบุคลิกที่ดีและข้าเลือกศัตรูจากสติปัญญาของพวกเขา ชายคนหนึ่งไม่มีทางเลือกศัตรูได้อย่างพิถีพิถันมากเกินไปหรอก ข้าไม่เคยมีศัตรูที่โง่เขลาเลยซักคนทุกคนล้วนมีปัญญาชั้นเลิศทั้งนั้น และผลที่ได้คือ พวกเขาก็พอใจข้า ข้าหลงตัวเองมากไปไหม ข้าว่าข้าหลงตัวเองอยู่เหมือนกัน”
“ข้าคิดว่ามันอาจจะเป็นอย่างนั้น แฮร์รี แต่จากการจัดประเภทคนของเจ้า ข้าก็คงเป็นแค่คนรู้จักเท่านั้น”
“บาซิลเพื่อนรัก เจ้าเป็นมากกว่าคนรู้จัก”
“และเป็นน้อยกว่าเพื่อนด้วย อันที่จริงน่าจะเป็นเหมือนน้องชายกระมัง”
“โอ พี่น้อง ข้าไม่สนใจหรอกเรื่องพี่น้อง พี่ชายของข้าไม่ยอมตายสักที ส่วนพวกน้องชายก็ไม่เห็นว่าจะทำอะไรอย่างอื่นเลย”
“แฮร์รี!” ฮอลวาร์ดร้องพลางขมวดคิ้ว
“เพื่อนรัก ข้าไม่ได้หมายความจริงจังหรอก แต่ช่วยไม่ได้ที่ข้าจะเกลียดญาติตัวเอง ข้าคิดว่าคงเป็นเพราะข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่มีใครหรอกที่จะทนคนอื่นที่มีข้อเสียเหมือนตัวเราได้ ข้าออกจะเห็นใจที่ประชาธิปไตยอังกฤษโกรธแค้นสิ่งที่เราเรียกว่ามลทินของชนสังคมชั้นสูง ประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกว่า ความมัวเมา ความโง่เขลา และความไร้ศีลธรรมควรจะเป็นคุณสมบัติเฉพาะของคนชั้นสูงพวกนั้น และถ้าหนึ่งในบรรดาพวกเราทำขายหน้าแล้วละก็ เขาผู้นั้นก็กำลังบุกรุกสิทธิของพวกเขาอยู่ ข้าคิดว่า ชนชั้นกรรมาชีพไม่ถึงร้อยละ 10 หรอกที่ใช้ชีวิตอย่างที่ควรจะเป็น”
“ข้าไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เจ้าพูดแม้แต่คำเดียว และยิ่งไปกว่านั้น แฮร์รี ข้ามั่นใจว่าเจ้าเองก็ไม่ได้คิดอย่างนั้นจริงๆ หรอก”
ลอร์ดเฮนรีลูบเคราสีน้ำตาลแข็งๆ ของเขา และใช้ไม้เท้าที่ทำจากไม้เนื้อแข็งสีดำเคาะลงบนรองเท้าบู๊ตหนังแก้ว “เจ้าช่างเป็นคนอังกฤษอะไรอย่างนี้ บาซิล นี่เป็นครั้งที่สองแล้วนะที่เจ้าตั้งข้อสังเกตเช่นนี้เวลาที่ใครเสนอความคิดให้กับชาวอังกฤษเลือดเข้มข้นฟังละก็เขาจะไม่สนหรอกว่า ความคิดนั้นถูกหรือผิด แต่เขาจะสนแค่ว่า คนที่พูดนั้น เชื่อคำพูดของตนเองหรือไม่ คุณค่าของความคิดไม่ได้ขึ้นอยู่กับความจริงใจของคนที่นำเสนอความคิดนั้นหรอก อันที่จริง ความเป็นไปได้อย่างมากก็คือว่า ยิ่งผู้พูดไม่จริงใจเท่าไหร่ ความคิดนั้นก็จะยิ่งบริสุทธิ์มากขึ้นเท่านั้นเพราะมันจะไม่มีความต้องการ ไม่มีความใคร่ และไม่มีอคติส่วนตัวของคนพูดมาแปดเปื้อนความคิดนั้น อย่างไรก็ดี ข้าไม่คิดจะถกเรื่องการเมือง สังคมวิทยา และอภิปรัชญากับเจ้าหรอก ข้าชอบบุคคลมากกว่าหลักการและชอบคนไม่มีหลักการมากกว่าสิ่งอื่นใดในโลก เอาล่ะ เล่าเรื่องนายโดเรียน เกรย์ ให้ข้าฟังอีกซิ เจ้าไปพบเขาบ่อยแค่ไหนหรือ”
“ทุกวันเลย ข้าจะไม่มีความสุขเลยถ้าไม่ได้พบเขาทุกวัน เขามีความสำคัญกับข้ามาก”
“คาดไม่ถึงเลยน่ะนี่ ข้าคิดว่า ไม่มีอะไรสำคัญต่อจ้ายิ่งไปกว่าภาพวาดของเจ้าเสียอีก”
“เขาเป็นศิลปะทุกอย่างของข้าแล้วในตอนนี้” จิตรกรพูดอย่างจริงจัง “บางครั้งนะ แฮร์รี ข้าคิดว่า ประวัติศาสตร์โลกมี 2 ยุคเท่านั้นแหละยุคแรก คือ ยุคที่มีการถือกำเนิดสื่อศิลปะใหม่ และอีกยุคหนึ่งคือ ยุคที่มีการถือกำเนิดบุคคลใหม่สำหรับงานศิลปะ เช่นที่การคิดค้นการวาดภาพสีน้ำมันได้ให้สิ่งใดกับชาววาติกัน ใบหน้าของแอนติโนอุสมีความ สำคัญอย่างไรต่อปฏิมากรชาวกรีก ในวันข้างหน้า ใบหน้าของโดเรียน เกรย์ ก็จะมีความสำคัญต่อข้าเช่นนั้นเหมือนกัน
ไม่ใช่เพียงแค่ข้าลงสี ภาพของเขา วาดภาพเขา และสเก็ตช์ภาพจากเขาเท่านั้น เขามีความสำคัญต่อข้ามากกว่าการเป็นคนมานั่งเป็นแบบให้เขียนภาพ ข้าไม่บอก เจ้าหรอกว่า ข้าไม่อะไรที่ทำกับเขา หรือความงดงามของเขามีมากเกินกว่าที่จะบรรยายด้วยศิลปะได้ ศิลปะสามารถถ่ายทอดได้ทุกสิ่งและข้าก็รู้ดีว่า ผลงานทั้งหมดของข้าหลังจากที่ได้พบกับโดเรียนเกรย์คือผลงานที่ดีของข้า เป็นผลงานที่ดีที่สุดในชีวิตข้า
แต่เจ้าจะเข้าใจข้าไหมว่าบุคลิกของเขาสอนให้ข้ารู้จักศิลปะแขนงใหม่ สอนให้รู้จักรูปแบบใหม่ๆด้วยวิธีที่แปลกประหลาด ข้ามองเห็นสิ่งแตกต่าง ข้าคิดแตกต่างออกไปในตอนนี้ ข้าสามารถสร้างชีวิตในรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยค้นพบมาก่อน “รูปลักษณ์ในความฝัน กลั่นจากคืนและวันแห่งความคิด” ใครกันนะที่พูดประโยคนี้ ข้าลืมไปแล้ว แต่นั่นแหละคือโดเรียน เกรย์ เขาเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มคนนั้นปรากฏกายขึ้นมา จะว่าเขาเด็กหนุ่มก็ไม่เชิง เพราะเขาอายุยี่สิบกว่าแล้ว เพียงแค่ได้เห็นหน้า เฮ้อ ข้าสงสัยว่า เจ้าจะเข้าใจไหมว่ามันหมายความว่าอย่างไร
เขาสร้างสรรค์ทฤษฎีวาดภาพขึ้นมาใหม่โดยที่เขาไม่รู้ตัว ทฤษฎีซึ่งมีทั้งความหลงใหลทั้งมวลของจิตวิญญาณของกลุ่ม โรแมนติก ความสมบูรณ์แบบของจิตวิญญาณชาวกรีก ความกลมกลืนกันของวิญญาณและสรรพางค์กาย ด้วยความบ้าลั่ง เราแยกทั้งสองสิ่งออกจากกัน และสร้างสิ่งที่เรียกว่า ลัทธินิยมความจริงอันแสนหยาบคาย และอุดมคตินิยมที่แสนว่างเปล่า แฮร์รี ถ้าหากเจ้ารู้ว่า โดเรียน เกรย์ สำคัญกับข้าอย่างไร เจ้ายังจำภาพทิวทัศน์ที่ข้าวาดแล้วอักนิวขอซื้อต่อแต่ข้าไม่ขายได้ไหม ภาพนั้นคือ ผลงานที่ดีที่สุดที่ข้าเคยวาด เพราะอะไรรู้ไหม เพราะตอนที่ข้าวาด โดเรียน เกรย์ นั่งอยู่ข้างๆ ข้าพลังดึงดูดลึกลับส่งผ่านจากเขามายังตัวข้า และเป็นครั้งแรกในชีวิตข้าที่ข้าเห็นความมหัศจรรย์ในป่าธรรมดาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน"
“บาซิล ช่างเป็นเรื่องที่วิเศษเหลือเกิน ข้าต้องพบโดเรียน เกรย์บ้างแล้ว”
ฮอลวาร์ด ลุกขึ้นจากม้านั่ง และเดินไปมาในสวน หลังจากชั่วขณะหนึ่ง เขาเดินกลับมา “แฮร์รี” เขากล่าว “โดเรียน เกรย์ เป็นแรงบันดาลใจในงานศิลปะของข้า เจ้าอาจจะไม่เห็นอะไรในตัวเขาเลย ในขณะที่ข้าเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในตัวเขา ยามเมื่อเขาไม่ได้นั่งอยู่กับข้า ตัวตนของเขาจะปรากฏในภาพของข้ามากที่สุด เขาเป็นดั่งคำแนะนำในหนทาง การทำงานใหม่ๆ ของข้า อย่างที่ข้าเคยพูดไว้ ข้าเห็นเขาในส่วนโค้งของเส้นวาดบางเส้น ในความน่ารักและความละเอียดละอ่อนของสีบางสีเท่านั้นเอง”
“แล้วทำไมเจ้าไม่แสดงภาพของเขาล่ะ” แฮร์รีถาม
“เพราะว่า ข้าได้แสดงความหลงใหลลงในภาพวาดข้าลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจน่ะสิ และข้าก็ไม่เคยคิดจะบอกเขาด้วย เขาไม่รู้ความจริงในข้อนี้เลย และเขาจะไม่มีวันรู้ด้วย แต่คนทั้งโลกอาจจะคาดเดาได้ ข้าจะไม่เปิดเผยจิตใจของข้าให้กับพวกสอดรู้สอดเห็นใจแคบพวกนั้นหรอก ข้าจะไม่ยอมให้ใครมานั่งวิเคราะห์หัวใจของข้า ในภาพนั้น มีความเป็นตัวข้ามากเกินไปน่ะ แฮร์รี มากเกินไปจริงๆ”
“กวีไม่คิดมากเหมือนเจ้า เพราะพวกเขารู้ว่า ความหลงใหลเป็นประโยชน์ต่อการได้ตีพิมพ์ผลงานมากแค่ไหน ในยุคนี้น่ะ เรื่องรักอกหักขายได้เยอะเลยล่ะ”
“ข้าเกลียดพวกนั้นเพราะเหตุนี้ล่ะ” ฮอลวาร์ดร้องขึ้นมา “ศิลปินสร้างสรรค์ผลงานชิ้นงามขึ้นมา แต่ไม่ควรใส่ตัวเองลงไป เราเกิดในยุคที่คนคิดว่า ศิลปะ คือชีวประวัติของศิลปินผู้นั้น เราสูญเสียความงามที่เป็นนามธรรม ในวันข้างหน้า ข้าจะทำให้คนทั้งโลกเห็นว่า ความงามเช่นนั้นมีหน้าตาอย่างไร และเพราะเหตุนี้ ทั้งโลกจะไม่ได้เห็นภาพวาดโดเรียน เกรย์ ของข้า”
“ข้าว่า เจ้าคิดผิดน่ะ บาซิล แต่ข้าคงไม่เถียงกับเจ้าหรอก คนที่โง่กว่าเท่านั้นล่ะถึงจะเถียง ว่าแต่ บอกข้าซิทีว่า โดเรียน เกรย์ ชอบเจ้าบ้างหรือเปล่า”
จิตรกรครุ่นคิดซักอยู่ครู่หนึ่ง “เขาชอบข้า” เขาตอบหลังจากหยุดไปชั่วขณะ “ข้ารู้ว่า เขาชอบข้า ส่วนข้าก็ชื่นชมในตัวเขาอย่างยิ่งยวด ข้าเองก็ประหลาดใจมากที่ชอบพูดกับเขาถึงในสิ่งที่ข้ารู้ว่า จะต้องมาเสียใจในภายหลัง ข้าหลงเสน่ห์เขา และเราก็นั่งคุยถึงเรื่องต่างๆ มากมายในห้องสตูดิโอ ในบางครั้ง เขาก็เป็นคนไม่มีความคิดอะไรเลย และดูเหมือนจะชอบใจที่ทำให้ข้าได้เจ็บปวดเสียด้วย แล้วข้าก็เริ่มรู้สึกน่ะเฮนรีว่าข้าได้มอบจิตวิญญาณทั้งมวลให้กับคนๆ หนึ่งซึ่งทำกับข้าเหมือนกับข้าเป็นเพียงดอกไม้ประดับเสื้อโค้ต เป็นเครื่องแต่งเสริมความทะนงของเขาเอง เป็นเครื่องตกแต่งของประดับในวันแห่งฤดูร้อน”
“วันในฤดูร้อนมักจะอ้อยอิ่งเสมอ บาซิล” ลอร์ด เฮนรี พึมพำ
“บางที เจ้าอาจจะเบื่อเขาเสียก่อนที่เขาจะเบื่อเจ้าก็ได้น่ะ คิดแล้วก็เศร้า แต่ไม่ต้องสงสัยเลย อัจฉริยภาพมักจะจีรังกว่าความงามเสมอ นั่นมาจากสาเหตุที่ว่า เราต้องทนทุกข์จากการหาความรู้มาใส่ตัวเราจนเกินไป เพื่อความอยู่รอด เราต้องหาสิ่งอื่นเพื่อให้ทนอยู่ได้ ดังนั้น เราจึงใส่ขยะและข้อเท็จจริงต่างๆ ลงไปในหัวเรา ชายหนุ่มผู้รู้สิ่งต่างๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วนนี่ล่ะ คือ อุดมคติสมัยใหม่ และจิตใจของชายหนุ่มผู้รู้สิ่งต่างๆ อย่างถี่ถ้วนนี่แหละน่ากลัวที่สุด ก็เหมือนกับร้านขายของกระจุกกระจิกที่ขายตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ และขายแพงเกินราคานั่นล่ะ ข้าคิดว่า เจ้าจะเบื่อเขาก่อน เหมือนที่เราเบื่อร้านพวกนี้ ในวันข้างหน้า เจ้าอาจรู้สึกว่า เจ้าไม่รู้จะวาดภาพเขาด้วยเส้นโค้งแบบใด หรืออาจจะไม่ชอบโทนสีของเขา อะไรทำนองนั้น เจ้าจะเริ่มประณามเขาในใจ และมองว่าเขาปฏิบัติตนกับต่อเจ้าได้แย่มาก ครั้งหน้าที่เขมาหา เจ้าจะเมินเฉยและเย็นชากับเขา สิ่งที่เจ้าเล่าให้ข้าฟังโรแมนติกทีเดียวนะ บางคนอาจเรียกว่า เป็นความโรแมนติกในเชิงศิลปะก็ได้ แต่สิ่งที่แย่ที่สุดของการมีความรักแบบโรแมนติก ก็คือ มันทำให้คนๆ นั้นกลายเป็นคนไม่โรแมนติกเอาเสียเลย
“แฮร์รี่ เจ้าอย่าพูดเยี่ยงอย่างนั้นนะ ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่บุคคลที่มีนามว่า โดเรียน เกรย์ จะมีอำนาจเหนือข้าเสมอ เจ้าไม่มีทางรู้สึก ได้อย่างที่ข้ารู้สึกหรอก เจ้าเปลี่ยนใจบ่อยเกินไป”
“บาซิลเอ๋ย เพราะข้าเป็นอย่างนั้นล่ะ ข้าถึงรู้ว่าเจ้ารู้สึกอย่างไรคนที่มีความศรัทธาในความรัก จะรู้จักแต่ด้านความรักที่จืดชืด ส่วนคนที่ไม่มีศรัทธาอย่างนั้น จึงจะรู้ว่า ความรักนั้นโศกสลดเยี่ยงอย่างไรบ้าง”
เฮนรีจุดไฟบนกล่องสีเงินอันเล็กจิ๋ว เริ่มสูบบุหรี่ด้วยท่าทีประหม่าและพึงพอใจ ราวกับว่าเขาสามารถสรุปโลกทั้งโลกได้ในประโยคเดียวมีเสียงนกกระจอกดังลอดออกมาจากใบไม้สีเขียวเป็นมันของต้นไอวี่เมฆสีฟ้าวิ่งไล่กวดตนเองเป็นเงาพาดผ่านพื้นหญ้าดั่งนกนางนวลบินโฉบในอยู่บนท้องฟ้า
สวนแห่งนี้ช่างน่ารื่นรมย์เหลือเกิน และอารมณ์ของคนเราช่างเป็นสิ่งที่น่าสุขใจอะไรเช่นนี้ ช่างน่าสุขใจยิ่งกว่าความคิดของพวกเขาเสียอีก! เขาคิดเช่นนั้น จิตวิญญาณของคนๆ หนึ่งและความหลงใหลของเพื่อนคนหนึ่ง สิ่งทั้งสองคือสิ่งที่น่าตรึงใจในชีวิต
เขานึกถึงการกินเลี้ยงมื้อกลางวันอันน่าเบื่อที่เขาไม่ได้ไป เพราะมัวแต่มานั่งคุยกับบาซิล ฮอลวาร์ด ด้วยความเบิกบาน ถ้าเขาต้องไปบ้านป้า เขาคงต้องเจอกับลอร์ดกู้ดบอดี้เป็นแน่แทและการสนทนาคงจะมีแต่การให้ทานคนจนและการวางโครงร่างบ้านพำนักพักพิงชั่วคราวผู้คนแต่ละชนชั้นแต่ละกลุ่มคงจะนั่งสั่งพร่ำสอนกันถึงความสำคัญของคุณธรรมในชีวิตของตนซึ่งไม่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของตนเองด้วยซ้ำ คนรวยก็จะคงพูดถึงแต่คุณค่าของการประหยัดเงิน และภาพลักษณ์ที่แสดงถึงศักดิ์ศรีของชนชั้นกรรมกรการที่หนีพ้นจากสิ่งเหล่านั้นมาได้ช่างเป็นสิ่งที่วิเศษเหลือเกิน
ในขณะที่เขากำลังนึกถึงป้าของเขา ก็ดูเหมือนเขาจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาหันไปหาฮอลวาร์ดพร้อมกับพูดว่า “เพื่อนรักของข้า ข้าเพิ่งคิดออก”
“นึกคิดอะไรได้หรือ แฮร์รี”
“ตอนที่ข้าได้ยินชื่อ โดเรียน เกรย์”
“ที่ไหน” ฮอลวาร์ดถามพร้อมทั้งขมวดคิ้วเล็กน้อย
“อย่ามองข้าด้วยสายตาขึงขังอย่างนั้น บาซิล เลดีอกาธาป้าของข้าต่างหาก เธอบอกว่า เธอค้นพบชายหนุ่มผู้แสนวิเศษคนหนึ่งที่จะมาช่วยเธอที่อีส เอนต์ เขามีนามว่า โดเรียน เกรย์ แต่ข้ากำลังจะพูดว่า เธอไม่เคยบอกข้าว่า เขาเป็นชายรูปงาม ผู้หญิงน่ะไม่ชื่นชมคนหน้าตาดีหรอกอย่างน้อยก็ผู้หญิงชั้นดีชั้นสูงนั่นแหละ เธอบอกบอกว่าเขาเป็นคนซื่อสัตย์ เป็นคนอุปนิสัยงดงาม ข้าเคยนึกภาพตาม คิดว่านายชายหนุ่มคงเป็นผู้ชายที่ใส่แว่นและผมตรงบาง ใบหน้าเต็มไปด้วยกระและชอบเดินย่ำเท้าเสียงดัง ข้าน่าจะรู้มาก่อนว่า เขาคือเพื่อนของเจ้า”
“ข้าดีใจมากที่เจ้าไม่รู้ แฮร์รี่”
“ทำไมละ”
“ข้าไม่อยากให้เจ้ารู้จักกับเขา”
“เจ้าไม่อยากให้ข้ารู้จักกับเขาอย่างนั้นหรือ”
“ไม่อยาก”
“ท่านครับ คุณโดเรียน เกรย์ มารอในห้องสตูดิโอแล้วครับ” พ่อ บ้านกล่าว ขณะที่เดินตรงเข้ามาในสวน
“เจ้าต้องแนะนำให้ข้ารู้จัก เดี๋ยวนี้น่ะ” ลอร์ดเฮนรีกล่าว ด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
จิตรกรหันไปทางคนรับใช้ของเขา ซึ่งยืนกระพริบตาท่ามกลางแสงแดด “พาร์กเกอร์ บอกให้คุณเกรย์เธอรอไปก่อน เดี๋ยวเราจะตามเข้าไป” คนรับใช้คำนับ และเดินกลับออกไป “โดเรียน เกรย์ เป็นเพื่อนรักของข้า” เขากล่าว “เขาเป็นคนธรรมดาและนิสัยใจคองดงามมากป้าของเจ้าพูดถูก อย่าทำให้เขาเสียคน อย่ามาพยายามโน้มน้าวเขา เจ้าจะส่งอิทธิพลที่ไม่ดีต่อเขา โลกนี้ช่างกว้างใหญ่และมีผู้คนอยู่มากมายอย่าพยายามมาแย่งคนที่ทำให้งานศิลปะของข้ามีเสน่ห์ ชีวิตของข้าในฐานะศิลปินอยู่ในกำมือของเขา แต่ข้าไว้ใจเจ้าน่ะ” เขากล่าวเนิบๆ แต่ฟังดูเหมือนว่าคำพูดที่เขาพูดนั้นถูกบีบเค้นออกมา โดยที่เขาไม่เต็มใจ
“เจ้าช่าง พูดจาไร้สาระเสียจริง” ลอร์ดเฮนรี่เฮนรีกล่าวพลางยิ้ม แล้วจับแขนของฮอลวาร์ด ดึงเขาให้เดินเข้าไปในบ้าน
[มีต่อในเล่ม]
Copyright © 2009 by Freeformbooks, Lomdee Co.,Ltd. All rights reserved.
© สงวนลิขสิทธิ์โดยฟรีฟอร์มสำนักพิมพ์ ในนามบริษัท ลมดี จำกัด ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดของหนังสือเล่มนี้ไปลอกเลียน ทำสำเนา ถ่ายเอกสาร หรือนำไปเผยแพร่ในอินเตอร์เน็ต หรือสื่อชนิดอื่นๆ ไม่ว่าในรูปแบบใด นอกจากจะได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น