พูดกับบ้าน

'รงค์ วงษ์สวรรค์......... พูดกับบ้าน ..
บันทึกแห่งชีวิตนักเขียน ในความถวิลถึงบ้านและญาติน้ำหมึก “ผมซื้ออิฐและซีเมนท์ด้วยงานเขียนคอลัมน์วันละ 3 ถึง 4 ชิ้น ผมไม่เรียกตัวเองว่าเป็นคนขยันเพราะผมบูชาความขี้เกียจ แต่ผมกำลังปลูกบ้าน ...” ตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ แล้วที่'รงค์ตั้งใจจะเป็นนักเขียนและต้องมีชีวิตที่ดี "ทำไมนักเขียนจะต้องนอนบ้านเช่าซอมมอซ่อ ทำไมนักเขียนจะต้องไม่มีอันจะกิน เราจะต้องปรับปรุงฐานะของเราให้ได้ ต้องมีบ้านเมื่ออายุยี่สิบกว่า มีรถยนต์เมื่อสามสิบกว่า เราต้องมีความเป็นอยู่ที่ดี มีอาหารที่บำรุงสุขภาพ มีเหล้าดีๆ กิน และก็ทำงานให้เป็นระเบียบ” ด้วยความเชื่อว่า “ผู้ชายถึงอายุ 30 ถ้ายังไม่มีบ้านก็คงยากจะมีบ้าน”“มึงจะเขียนอะไรก็ได้งั้นหรือ”ประเสริฐ พิจารณ์โสภณถามอย่างหงุดหงิด กังวานท้ายประโยคทักท้วงและตำหนิ ผมยักไหล่ก่อนตอบว่า“วันก่อนกูเขียนเกี่ยวกับการเลือกซื้อลิพสติกได้เงินมาซื้อแม่บันได” “ฝ้าเพดานก็ยังไม่มีนี่หว่า พรุ่งนี้มึงจะเขียนอะไร" [วางจำหน่ายแล้ว]

บนถนนของความเป็นหนุ่ม

'รงค์ วงษ์สวรรค์ บนถนนของความเป็นหนุ่ม ...
ซูเปอร์ไฮเวย์ของฮิปปี้ เพลย์บอย สารคดีละเลียดโลกกว้างในวัยหนุ่มกำดัด สุดยอดสารคดีขบวนแรกในวัยหนุ่มของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ ถ่ายทอดประสบการณ์ท่องโลกกว้างอันน่าตื่นตะลึงในดินแดนญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย ในฐานะนักข่าวหนังสือพิมพ์ “สยามรัฐ” และตัวแทนนิตยสาร “ดาราไทย” โดยปิดท้ายเล่มด้วยเรื่องสั้นสะท้อนชีวิตวัยหนุ่มของผู้เขียน “บางซ่อน-กรุงเทพฯ” “บนถนนของความเป็นหนุ่ม” ปรากฏตัวครั้งแรกเมื่อพ.ศ. 2504 ในแบบฉบับปกแข็งหนาร่วม 400 หน้ากระดาษ ด้วยความเป็นหนุ่มในวัยกำดัด ’รงค์ วงษ์สวรรค์ มีความสดในการคิดและเขียนถ่ายทอดทุกสิ่งทุกอย่างที่สายตาของเขาพบเจออย่างละเอียด รวดเร็วและเฉียบคม กล่าวได้ว่า “บนถนนของความเป็นหนุ่ม”เป็นสารคดีที่มีชีวิตชีวามากที่สุดที่ช่วยพิสูจน์และยืนยันคำพูดติดปากของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ ที่ว่า “การเดินทางเป็นสายตาของนักเขียน” [วางจำหน่ายแล้ว]

ไฟอาย

ไฟอาย 'รงค์ วงษ์สวรรค์ ..
จากคอลัมน์ “รำพึงรำพัน โดยลำพู” งานเขียนในยุคแรกเริ่มของ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ ที่เขียนลงใน “สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์” เป็นการคิดคำนึงถึงสังคมในแง่มุมต่างๆ อย่างน่าสนใจ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ พูดถึงคนในระดับล่างไม่ว่าจะเป็นคนกวาดถนน คนโซ โสเภณี ฯลฯ และด้วยประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาอย่างโชกโชน คลุกคลีกับคนทุกระดับ ทุกชนชั้น ทำให้ “รำพึงรำพัน” เป็นสุดยอดผลงานยุคเริ่มต้นของนักเขียนไทยผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ทั้งในแง่ของการใช้ภาษาและมุมมองชีวิตที่สะท้อนผ่านตัวละครต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์“ไฟอาย”เป็นงานขบวน 3 จากคอลัมน์รำพึงรำพันโดยลำพู สืบต่อจากเล่ม “หนาวผู้หญิง” และ “เถ้าอารมณ์” ปรากฏตัวให้ผู้อ่านยลโฉมครั้งแรกในปีเดียวกัน คือ พ.ศ. 2503 หลังจากเปิดตัวผลงาน“ไฟอาย” ได้เพียงปีเดียวเท่านั้น ในปีถัดมา'รงค์ วงษ์สวรรค์ จึงผลงานนวนิยาย“สนิมสร้อย” ตามออกมาติดๆ [วางจำหน่ายแล้ว]

'รงค์ ชุด เหยี่ยวฮิปปี้

แสงแดดเป็นไข้ ไฉไลเป็นบ้า ไม่นานเกินรอ
รวมผลงานชุดเหยี่ยวฮิปปี้ 3 เล่ม
ของ'รงค์ วงษ์สวรรค์
....
แสงแดดเป็นไข้ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ .... ....................
ผลงานที่ไม่เคยรวมเล่มมาก่อนของ'รงค์ วงษ์สวรรค์ ดำเนินการสานต่อให้เป็นรูปเป็นร่าง ว่าด้วยเรื่องราว "หม่อมราชวงศ์นัดพบนักเลง" เมื่อ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ยุคทำหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ต้องมีนัดพบกับ "ยาม" ของบริษัทปูนซีเมนต์ไทย โดยมี'รงค์ วงษ์สวรรค์ อยู่ในเหตุการณ์แสนระทึก เพราะต้องทำหน้าที่เป็นลูกมือคอยจดบันทึกการสัมภาษณ์ครั้งนั้นด้วยความอกสั่นขวัญแขวน มีให้อ่านทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ จากฝีมือการแปลของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช[วางจำหน่ายแล้ว]
......................................................
........................ ............. ...................................... ........
ไฉไลเป็นบ้า 'รงค์ วงษ์สวรรค์ ... เรื่องราวเิกิดขึ้นเมื่อครั้งสมัย'รงค์ วงษ์สวรรค์ สวมวิญญาณนักข่าวหนุ่มไฟแรงสุดเท่ ตะลุยโรงถ่ายหนังจีนชอว์ บราเดอร์ที่กำลังฮอตสุดๆ ในเวลานั้น เจาะลึกสัมภาษณ์ รัน รัน ชอว์ เจ้าของชอว์บราเดอร์, ศึกษาวิธีตั้งชื่อหนังสือจีนสุดฮิตสมัยนั้น, การเซ็นเซอร์, ความลับในการทำซับไตเติล ตั้งแต่ยุคก่อตั้งชอว์บราเดอร์ จนมาถึงจอห์น วู ผู้ซึ่งปัจจุบันกลายมาเป็นขวัญใจฮอลลีวู้ดและนักดูหนังรุ่นใหม่ [วางจำหน่ายแล้ว]
......................................................................................... ........................................................................................ ........................................................................................ ..... ใใใใใใใใใใใใใใใใใใใใใใใใใใใใใใใใใใใใใใใใใใใใใ ....................
ไม่นานเกินรอ
'รงค์ วงษ์สวรรค์
....
เจ้าของคำพูดสุดคลาสสิค"ไม่นานเกินรอ"ที่ใครๆ ก็เอามาใช้พูดกันเขียนกันทุกวันนี้ จะมีกี่คนที่รู้ว่าเป็นสำนวนของ'รงค์ วงษ์สวรรค์ "ไม่นานเกินรอ"เป็นบทบันทึกความในใจจากซอกหลืบลึกที่สุดของ'รงค์ วงษ์สวรรค์ นักเขียนหนุ่มหัวก้าวหน้าในยุคนั้นที่กำลังเพียรพยายามก่อร่างสร้างสไตล์งานเขียนที่เป็นตำนาน แต่กลับโดนถล่มเละเทะจากนักวิจารณ์ผู้โหดเหี้ยมที่นั่งกระดิกเท้าคอยพิพากษาเขาอยู่บนยอดหอคอยสูงของยุคนั้นอย่างดุเดือด จนกระทั่ง'รงค์ ถึงกับสบถเอาไว้ในตอนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ว่า "ไม่นานเกินรอ! ไม่นานเกินรอ! ผมอยากเปิดเผยความในใจกับเขาว่าผมไม่ใช่ใครอื่นเลย นอกจากไอ้โง่คนหนึ่งเท่านั้น! โง่บรรลัย! ให้ห่ากิน!" [วางจำหน่ายแล้ว]
..................................................
..........................................................

'รงค์ คืนรัก

คืนรัก : 'รงค์ วงษ์สวรรค์
พิมพ์ครั้งที่ 5 (วางจำหน่ายแล้ว)
เรื่องราวของบาปหวาน ตราตรึง กาลครั้งหนึ่งยังมี"รัก"เริ่มต้นจาก"ใคร่"หนังสือที่ผู้หญิงหลายคนบอกว่า"เกลียดที่สุด"ของ'รงค์ วงษ์สวรรค์ แต่สำหรับ'ปราย พันแสง มันคือหนังสือที่ "ย้อนศร เซ็กซี่ มีสไตล์ เชิงชั้นร้ายกาจ เท่เหลือกินเหลือใช้ น่าเอาไปทำหนัง"นี่คือผลงานของ'รงค์อีกเล่มหนึ่งที่เป็นหนังสืออยู่ในดวงใจ'ปราย พันแสง ตลอดกาลนับตั้งแต่ได้อ่านครั้งแรก จะมีอะไรคลาสสิคไปกว่าเหตุการณ์ในคืนเดียว ที่ผู้ชายคนหนึ่ง อยากได้ผู้หญิงคนหนึ่ง สารพัดวิธีการที่ผู้ชายคนนั้นเสกสรรหามาเพื่อหล่อน จึงดำเนินไปบนความใคร่ที่ไร้สิ่งเจือปนแม้แต่น้อย ใคร่จริงๆ ใคร่ล้วนๆ แต่งามละเมียดจนคุณอาจไม่อยากเชื่อ ว่าเรื่องพรรค์นี้มันงามถึงเพียงนี้ได้เชียวหรือ สำหรับคนที่ชอบพูดคำว่า"รัก" บางทีใครคนนั้นอาจจะไม่มีวันได้รู้เลยก็ได้ว่า บางครั้งความรักที่แท้จริงนั้น ...มันก็มาจาก"ใคร่" และดำรงอยู่ในหัวใจอย่างลึกซึ้งได้เช่นกัน นี่คือสุดยอด"เชิงและ"ชั้น"ในสไตล์การเขียนของ'รงค์ วงษ์สวรรค์ ที่เราต้องศึกษา คลิกอ่านรายละเอียดหนังสือและตัวอย่างบทแรก
คลิกอ่านรายละเอียด

วานปีศาจตอบ

'รงค์ วงษ์สวรรค์ วานปีศาจตอบ
พิมพ์ครั้งที่ 2
คัดสรรบทสัมภาษณ์ “คมกริบ” จำนวน 12 ชิ้น จากบทสัมภาษณ์จำนวนหลายร้อยชิ้นตลอดชีวิตของนักเขียนใหญ่ผู้ได้ชื่อว่าเป็น “พญาอินทรี” แห่งวงการวรรณกรรมไทย รวมถึงการสัมภาษณ์ยียวนกวนยิ้ม’รงค์ วงษ์สวรรค์ ในอดีตของขรรค์ชัย บุนปาน บิ๊กบอสแห่งอาณาจักรมติชนปัจจุบันนี้ ซึ่งเคยเป็นนักเขียนหนุ่มรุ่นน้องย่าน “เฟื่องนคร” สมัยนั้น ปัจจุบันบทสัมภาษณ์เจ๋งๆ แบบ 12 ชิ้นนี้ ไม่มีให้หาอ่านที่ไหนแล้ว ร้อยปีเมืองไทยจึงจะมีนักเขียนแบบนี้ได้สักคนหนึ่ง ร้อยปี จะมีนักเขียนไทยที่ให้สัมภาษณ์ได้ “คมกริบ” แบบนี้สักคนหนึ่ง--หรืออาจจะไม่มีอีกเลย! นอกจากนี้ ยังมีภาคพิเศษสุดๆ คือการสัมภาษณ์ ท่านปรีดี พยมยงค์ ของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ ขณะลี้ภัยอยู่ ณ บ้านชานกรุงปารีส เมื่อปี 2521 ซึ่งปัจจุบัน กลายเป็นบทสนทนาสุดคลาสสิคของคนสองคน ที่ก้าวเดินบนถนนต่างสาย ยิ่งใหญ่ในเส้นทางของตัวเอง ที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร กลายเป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่ง ที่เราทุกคนต้องอ่าน ต้องศึกษา ไม่ว่าคุณจะเคยอ่านงานเขียนของ’รงค์ วงษ์สวรรค์ มาก่อนหรือไม่ก็ตาม
(วางจำหน่ายแล้ว)

มกราคม อำลา

.................
ข้อมูลเพิ่มเติม สอบถามได้ตลอดเวลาเจ้า พี่อ้อม 081-7164007 e-mail : tuneinpeople@gmail.com เว็บไซต์ http://www.tunegerden.com/

หน้าซองจดหมายอาปุ๊ + บทรำพึง ถึงคนที่ไปจิบไวน์บนฟ้า

บทรำพึง...
คิดถึงคนบางคน
ที่กำลังจิบไวน์บนฟ้า.. ภาพจาก tuneingarden.com
Last update: July,04-2009 ......................
ใครเขียนหนังสือมาบ้างจะรู้ เวลาไม่ได้เขียนอะไรนานๆ มันจะฝืด อาปุ๊-'รงค์ วงษ์สวรรค์ เคยพูดกับฉันว่า "ตอนอาหนุ่มๆ นะ อาเขียนชิบหาย คิดอะไรหน่อย เห็นอะไรหน่อย อยากเขียน แล้วก็เขียนออกมาได้มหาศาล บางทีกลับไปอ่าน ยังรู้สึกว่ามันต้องแก้ตรงนั้นแก้ตรงนี้ คือสมัยหนุ่มจะแรงดี แต่งานเขียนอาจจะไม่ค่อยดีเหมือนตอนแก่"...ฉันก็ว่า "อุ๊ย อา ยิ่งดีสิคะ ยิ่งแก่ยิ่งเขียนกระจายไปเลยสิ ดีจะตาย"แต่อาปุ๊ตอนนั้นนั่งรถเข็นมาร่วมงานหนังสือมติชนที่เชียงใหม่ตอบฉันว่า"ตอนแก่นี่ ความคิดดีๆ มันเยอะก็จริง แต่ไม่ค่อยมีแรงเขียนว่ะ"...คลิกอ่านต่อ.............. ......... *... ...คนอ่าน .........47 ความคิดเห็น

งานอาปุ๊อีกชุด

น้ำผึ้งพระจันทร์หยดแรก
'รงค์ วงษ์สวรรค์
คัดสรรผลงาน'รง วงษ์สวรรค์ ที่ติดหนึบอยู่ในดวงใจ 'ปราย พันแสง ผลงานมาสเตอร์พีซแห่งระลึกถึง รวมผลงานเขียนแห่งแรงบันดาลใจของ'รงค์ วงษ์สวรรค์ ที่มีอิทธิพลต่องานเขียนของ'ปราย พันแสง ทั้งงานเขียนที่ดีที่สุด รักที่สุด และแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ที่สุดของ'รงค์ วงษ์สวรรค์ ในสายตาของคนเขียนหนังสือรุ่นหลัง ผู้ยังมี " ' " อยู่นำหน้าชื่อตามนักเขียนในดวงใจและยังบูชาผลงานของนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ไม่เสื่อมคลาย ทุกเรื่องในเล่มนี้คัดสรรค์มาเพื่อนักอ่านหน้าใหม่ ที่ไม่เคยได้สัมผัสผลงานชิ้นเยี่ยมจริงๆ ของ'รงค์ วงษ์สวรรค์ มาก่อน รวมทั้งสำหรับนักอ่านหน้าเก่า ที่อยากจะอ่านใหม่อีกครั้งในวันนี้ [มีกำหนดวางจำหน่ายเร็วๆ นี้]
......................................................................................... ..................................................................
...................... ........................................................................................ ........................................................................................ .......................................................................................
.
SEX : เซ็กซ์กอฮอลิก
'รงค์ วงษ์สวรรค์ .... รวมผลงาน sex life ทัศนคติและรสนิยมเกี่ยวกับเซ็กซ์ของ'รงค์ วงษ์สวรรค์ ที่เจ้าตัวบรรจงคัดสรรค์เตรียมใส่แฟ้มไว้สำหรับการรวมเล่ม แต่บังเอิญมีธุระต้องไปจิบไวน์บนฟ้าเสียก่อนที่งานจะสำเร็จเป็นเล่ม แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทุกคนจะได้อ่านจากเล่มนี้ คือสิ่งที่'รงค์ วงษ์สวรรค์ ตั้งใจทิ้งเอาไว้ให้เราคิดถึงเขาโดยเฉพาะ [มีกำหนดวางจำหน่ายเร็วๆ นี้]
..........................................................................................
.........................................................................................
.....................................................................................
.....................................................................................................
..........................................................................................
...............................................................................................................................................

แมร์ดซีรี่ส์ เล่ม 1 อะ เยียร์ อิน เดอะ แมร์ด ผ้าขี้ริ้วห่อชา




A Year in the Merde
อะ เยียร์ อิน เดอะ แมร์ด
: ผ้าขี้ริ้วห่อชา
มนันยา : แปลไป หัวเราะไป

ปฐมบทแห่งนวนิยายแสบสันต์และฮากระจาย ด้วยอารมณ์ขันสุภาพแต่ซาดิสต์แบบหนุ่มอังกฤษหัวใจอินดี้ ว่าด้วยเรื่องราวของพอล เวสต์ หนุ่มลอนดอนที่เดินทางมาปารีสเพื่อบุกเบิกธุรกิจร้านน้ำชาอังกฤษในฝรั่งเศส ด้วยความสับสนทางวัฒนธรรม พอลต้องหารับมือกับ“ฝรั่งเศส”ทุกกระบวนท่า ไม่ว่าจะเป็นวิธีเอาตัวรอดจากการประชุมร่วมกับคนฝรั่งเศส วิธีหาบ้านพักแบบฝรั่งเศส สาวฝรั่งเศส จูบแบบฝรั่งเศส รวมถึงวิธีการสะกดภาษาอังกฤษแบบฝรั่งเซส ฝรั่งเศส ฯลฯ.A Year in the Merde ติดอันดับอินเตอร์เบสต์เซลเลอร์ เป็นหนังสือภาคบังคับที่ต้องมีทุกร้านหนังสือในปารีส (ราคาปก 295 บาท) คลิกอ่านรายละเอียดทั้งหมด
จากปกหลัง
“ผมอยากแสดงให้เห็นว่าคนฝรั่งเศสจริงๆ แล้วเป็นยังไง ผมเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเพื่อนักท่องเที่ยวหน่อมแน้มชาวอังกฤษที่น่าสงสาร มีคนฝรั่งเศสเยอะแยะที่ไม่ได้เป็นพวกมือถือสากปากถือศีล เห่ยเฟ่ย ก้าวร้าว โอหัง ทรยศ และเซ็กซี่อย่างเหลือเชื่อ เพียงแต่คนพวกนี้ไม่ได้อยู่ในหนังสือเล่มนี้ของผมเท่านั้น ”สตีเฟน คลาร์คบอกไว้อย่างนั้น

“นิยายที่คนจะไปปารีสต้องอ่าน ประมาณลูกผสมระหว่างฮิวท์ แกรนท์กับเดวิด เบคแฮม เหมือนไดอารี่ของบริดเจต โจนส์ ที่ผู้ชายเป็นคนเขียน” ,เดอะ การ์เดียน

“เรียกคลาร์กว่าพวกต่อต้านเมย์ (ปีเตอร์ เมย์ ผู้เขียนหนังสือขายดี A Year in Provence) เผ็ดร้อน และขำขันซะเป็นส่วนใหญ่” ซาน ฟรานซิสโก โครนิเคิล

“สายตาของคลาร์กเก็บรายละเอียดได้อย่างน่าทึ่ง” วอชิงตัน โพสต์

“เป็นส่วนผสมของความเจ้าเล่ห์ของบริดเจต โจนส์กับความเก่งกล้าของเจมส์ บอนด์ ไหวพริบและสายตาแหลมคมสุดยอด” พับลิสเชอร์ วีค ลี่

“ละเมียดและฉลาด ลงลึกถึงข้อแตกต่างระหว่างพวกเราและพวกเขา” ซันเดย์ ไทม์


“สนุกสุดๆ และโดนอย่างจัง” ดิ ออสเตรเลียน


A Year in the Merde คนเขียนเคยพิมพ์เองขายเองในเว็บไซต์ ขายดีบอกกันปากต่อปาก จนสำนักพิมพ์ใหญ่ติดต่อขอไปพิมพ์ขายทั่วโลก จนติดอันดับอินเตอร์เบสต์เซลเลอร์ ปัจจุบัน กลายเป็นหนังสือภาคบังคับที่ต้องมีทุกร้านหนังสือในปารีส และทั่วโลก สำหรับในประเทศอังกฤษ A Year in the Merde เป็นหนังสือเล่มเดียวที่ติดอันดับหนังสือตลกขายดีของอังกฤษโดยที่ไม่มีเนื้อหาเกี่ยวกับซิมป์สัน และเคยได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างคึกโครมในหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศส


“คนฝรั่งเศสเยอะแยะที่ไม่ได้เป็นพวกมือถือสากปากถือศีล เห่ยเฟ่ย ก้าวร้าว โอหัง ทรยศ และเซ็กซี่อย่างวายร้าย เพียงแต่คนพวกนี้ ไม่ได้อยู่ในหนังสือเล่มนี้ของผมเท่านั้นแหละ ”
สตีเฟน คลาร์ก




จากใจสำนักพิมพ์

“ผมเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเพื่อนักท่องเที่ยวหน่อมแน้มชาวอังกฤษที่น่าสงสาร” สตีเฟ่น คลาร์ก กล่าวถึงที่มาของ A Year in the Merde นวนิยายยอดฮิตของเขาเอาไว้ในบทความชื่อ Merde turns to gold ของ ลานี่ กู๊ดแมน ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ เดอะ การ์เดียนเมื่อปี 2004 เอาไว้เช่นนั้น ทั้งยังบอกอีกว่า “ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อช่วยลดอาการช็อคเกี่ยวกับวัฒนธรรมฝรั่งเศส ”

เรื่องช็อคทางวัฒนธรรมกลายเป็นเรื่องตลกสุดฮา เมื่อสตีเฟน คลาร์ก หรืออีกชื่อหนึ่งคือ พอล เวสต์ ตัดสินใจเขียนบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับความซวยของชาวอังกฤษที่ไปอยู่ฝรั่งเศส โดยคลาร์กอธิบายถึงหนังสือที่วางจำหน่ายในช่วงแรกว่า ไม่มีใครรู้ว่าพอล เวสต์ เป็นใคร คนอ่านจะรู้แต่ว่ามันคือเรื่องจริงในฝรั่งเศสที่พอลเวสต์เจอมา ด้วยเหตุนี้คลาร์กจึงเรียก A Year in the Merde ว่าเป็นหนังสือ “ชีวประวัติปลอมๆ” หรือfake autobiography ของเขานั่นเอง

คลาร์กจัดพิมพ์ A Year in the Merde ออกมาครั้งแรก 200 เล่ม โดยแจกจ่ายเพื่อนฝูงให้อ่านกันสนุกๆ แต่ภายในไม่กี่สัปดาห์ ความสนุกสนานของ A Year in the Merde ได้รับการบอกเล่าปากต่อปากแบบไฟลามทุ่ง จนกลายเป็นว่า นี่คือนวนิยายสามัญประจำร้านหนังสือในปารีส ที่นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องอ่าน รวมถึงชาวปารีเซียงด้วยเช่นกัน

หลังจากนวนิยายพิมพ์เองขายเองเล่มนี้ขายไปแล้วมากกว่า 2,000 ก๊อปปี้ เอเยนต์ของคลาร์กได้มีการเจรจากับตัวแทนบริษัทจัดจำหน่ายหนังสือของอังกฤษและฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการ ทำให้หนังสือเป็นที่รู้จักแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากคลาร์กรับเชิญให้สัมภาษณ์ในรายการวิทยุชื่อดังของฝรั่งเศสในช่วง prime-time ซึ่งมีคนฟังมากที่สุด ทำให้ชื่อเสียงของคลาร์กและหนังสือ A Year in the Merde โด่งดังติดลมบนชนิดฉุดยังไงก็ไม่อยู่เลยทีเดียว

ในช่วงแรกที่วางจำหน่าย หนังสือ A Year in the Merde ได้รับการโปรโมทว่าเป็นด้านมืดหรือมุมแย้งของ A Year in Provence หนังสือเบสต์เซลเลอร์ของปีเตอร์ เมย์ลส์ ที่กำลังโด่งดังอยู่ในขณะนั้น คลาร์กบอกว่า “ผมต้องการแสดงให้เห็นว่าคนฝรั่งเศสจริงๆ เป็นอย่างไร” โดยเลือกบอกเล่าผ่านสายตาของหนุ่มอังกฤษอายุ 27 ปี ซึ่งมีบุคลิก “ประมาณลูกผสมระหว่างฮิวท์ แกรนด์กับเดวิด เบคแฮม” เขาบอกเช่นนั้น

ในที่สุดเรื่องราวของหนุ่มจอมซ่า พอล เวสต์ ที่ได้รับการว่าจ้างให้มาบุกเบิกธุรกิจร้านน้ำชาสุดฮิปในปารีส ที่มีรูปแบบการเขียนเช่นเดียวกับหนังสือท็อปฮิต Bridget-Jones-diary ที่ผู้ชายเป็นคนเขียนก็ประสบความสำเร็จในระดับชาติ และน่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่งว่า คนฝรั่งเศสจำนวนมากก็ซื้อหนังสือเล่มนี้ ไปอ่าน แม้ว่าจะไม่เข้าใจมุกตลกทั้งหมดก็ตาม อาจจะด้วยเหตุนี้ หนังสือ A Year in the Merde จึงหายวับไปจากร้านหนังสือภาษาอังกฤษชื่อดังในฝรั่งเศส เช่นร้าน WH Smith, Brentanos, ซุปเปอร์มาเก็ต Leclerc และ Fnac แต่กลับไปปรากฏอยู่ที่ร้านหนังสือใหญ่ๆ ของฝรั่งเศสและยังมียอดสั่งหนังสืออย่างต่อเนื่อง คลาร์กกล่าวถึงความสำเร็จของหนังสือเล่มนี้ว่า เขาอยากแสดงผ่านตัวหนังสือให้ผู้อ่านได้เห็นว่า “เราจะผ่านกองแมร์ดพวกนี้ไปไปได้อย่างไร และทำอย่างไรจึงจะมีความสุขกับฝรั่งเศสในด้านที่ดีๆ”

สำนักพิมพ์ฟรีฟอร์มจึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่มีโอกาสจัดแปลและจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ออกสู่สายตานักอ่านชาวไทย รวมทั้งผลงานของสตีเฟ่น คลาร์ก ที่จะออกวางจำหน่ายในปีนี้ตามมาอีกสองเล่มคือ Merde Actually และ Talk to the Snail ซึ่งมีรายละเอียดหนังสืออยู่แล้วท้ายเล่ม และหวังว่าผู้อ่านจะได้รับอรรถรสความสนุกสนาน ความรู้ และความฮา ของหนังสือชุดนี้เช่นเดียวกับที่พวกเราทีมงานฟรีฟอร์มสำนักพิมพ์ได้สนุก และ ฮา กันมาตลอดระยะเวลาในการจัดทำหนังสือชุดนี้


ด้วยความจริงใจและปรารถนาดี
ฟรีฟอร์มสำนักพิมพ์




เกี่ยวกับผู้เขียน : สตีเฟน คลาร์ก (Stephen Clarke) เป็นนักข่าวและนักเขียนชาวอังกฤษ เขาเคยเขียนประวัติตัวเองเอาไว้ว่า “ผมเกิดที่เบิร์นเมาท์ (บอนดี้ บีชที่อังกฤษ) ที่ซึ่งผมเล่นเบสกับวงดนตรีร๊อคห่วยที่สุดในประวัติศาสตร์ ก่อนจะออกจากเมืองเพื่อมาศึกษาภาษาฝรั่งเศสและเยอรมันที่มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด หลังจากเรียนจบ ผมได้งานที่ต้องบ้าพลังในอุตสาหกรรมไวน์ (เก็บองุ่น), งานระดับสาม (งานซักล้างในโรงแรมเยอรมัน) และการทูตระหว่างประเทศ(สอนภาษาอังกฤษให้กับนักธุรกิจชาวฝรั่งเศสที่น่าเบื่อ)”

ก่อนที่จะตีพิมพ์งานเขียน A Year in the Merde เคยเป็นคนเขียนบทร่างเรื่องตลกขำขันของสถานีวิทยุบีบีซีและเคยเขียนมุกตลกสำหรับนักแสดงเดี่ยวไมโครโฟน นอกจากนั้นยังเขียนเนื้อเรื่องให้นักเขียนการ์ตูนชาวอเมริกันและศิลปินคอมมิค กิลเบิร์ต เชลตัน เขาใช้เวลาหลายปีทำงานในกลาสโกลโดยทำหน้าที่เป็นคนแปลภาษาให้บริษัทดิกชันเนอรี่ฮาร์เปอร์คอลลินส์ ซึ่งเขาเคยเล่าว่า “เขาจ้างผมมาเพื่อมาใส่คำหยาบลงในดิกชันนารี่ของฝรั่งเศส ผลงานของผมก็อย่าง “motherf*cker” ใน คอลลินส์ โรเบิร์ตดิกชันนารี่ หลังจากนั้นไม่นานนักผมก็ได้ข่าวว่าที่ฝรั่งเศสนี่เขาทำงานกันแค่ 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ผมเลยรีบย้ายมาอยู่ปารีส” จากวันนั้นถึงวันนี้พำนักและทำงานอยู่ในปารีสมากกว่าทศวรรษแล้ว

ฤกษ์งามยามดี เป็นวันที่ 1 เมษายน 2004 วันเอพริลฟูล (April Fools' Day) อันเป็นวัน“อำ”ระดับนานาชาติ คล้ากได้ตัดสินใจพิมพ์นิยายของเขาเองขึ้นมา 3 เรื่อง เรื่องละ 200 เล่ม โดยตั้งใจไว้ว่าจะนำมาขายผ่านเวปไซต์ของเขาเอง หรือไม่ก็แจกเพื่อนฝูง เขาบรรยายถึงหนังสือเหล่านี้ด้วยคำว่า “โคตรขำ” บ้างก็ว่า “ขำขันด้วยตัวหนังสือ” หนังสือหนึ่งในหนังสือสามเล่มนั้นก็คือ A Year in the Merde ซึ่งล้อเลียนหนังสือ A Year in Provence ของปีเตอร์ เมย์ลส์ ที่กำลังโด่งดังอยู่ในขณะนั้น

A Year in the Merde กลายเป็นหนังสือฮอตฮิตบอกกันปากต่อปากว่าเป็นหนังสือที่ต้องมีในปารีส โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ถูกวิจารณ์ในหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศส ท้ายที่สุดคล้ากได้ตัดสินใจขายสิทธิ์ให้กับสำนักพิมพ์จริงๆ (ทรานเวิลด์ในสหราชฮาณาจักร, บลูมเบอรรี่ในอเมริกา, เพนกวินในแคนาดา และแรนดอม เฮ้าส์ในออสเตรเลีย) เพื่อให้ผลงานเขียนของเขาเผยแพร่ความฮาไปทั่วโลกตามธรรมเนียมการจำหน่ายหนังสือทั่วไป นับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องอีกครั้งหนึ่งในชีวิตเขาทีเดียว

ในฝรั่งเศส A Year in the Merde ได้รับการตีพิมพ์โดยนิล อิดิชั่น และตั้งชื่อเรื่อง “God Save La France” ความสำเร็จของ A Year in the Merde ทำให้คลาร์กสร้างสรรค์ผลงานเล่มต่อมาคือ Merde Actually คลาร์กเล่าว่า “ผมได้เริ่มเขียนเรื่องนี้ตามมาในหนึ่งปีให้หลัง A Year in the Merde ได้รับการตีพิมพ์ เรื่องราวใน A Year in the Merde จบลงในเดือนพฤษภาคม แต่ผมยังมีเรื่องอีกมากมายที่ผมอยากจะเขียนเกี่ยวกับช่วงฤดูร้อนของฝรั่งเศส ซึ่งพอลต้องทำงานในเมืองหลวงช่วงเดือนสิงหาคมที่ร้อนอบอ้าวในปารีสเมื่อไม่มีใครเลยนอกจากพวกนักท่องเที่ยว และคุณสามารถทำอะไรด้วยตัวเองได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งชาวปารีสเลยสักนิด”

แต่ในระหว่างที่เขียน Merde Actually คลาร์กได้รับความกดดันจากเอเยนต์ประจำตัวเขาในฝรั่งเศสพอสมควร เนื่องจากความล่าช้าของเขานั่นเอง

“หลายเดือนผ่านไป สำนักพิมพ์ใหม่ทั้งหลายของผมเริ่มกังวลเล็กน้อยว่าผมจะเขียนนิยายเล่มที่สองออกมาได้จริงๆ หรือเปล่า คงมีบางคนสงสัยเหมือนกันว่าบางที เจ้าคลาร์กคนนี้ได้ค้นพบหนุ่มอังกฤษในปารีสจริงๆ แล้วก็จัดการขโมยต้นฉบับของผู้ชายคนนี้ ก่อนจะทิ้งศพเขาลงแม่น้ำแซนไปซะแล้ว อย่างเซลีนา บรรณาธิการของผมก็เริ่มส่งข้อความมาขอร้องผมว่า “ขอฉันดูต้นฉบับที่คุณกำลังเขียนหน่อยได้ไหม?” ผมตอบไปว่า ขอโทษเถอะ ผมยังเขียนไม่เสร็จ” ผมไม่อยากให้ใครอ่านต้นฉบับที่ยังไม่เสร็จของผมหรอก”

อย่างไรก็ตาม Merde Actually ออกมาตรงเวลาและทำยอดขายวิ่งสู่อันดับ 1 ในหมวดนวนิยาย Original “การที่หนังสือขายดีเป็นอันดับหนึ่ง ยังคงเป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับผม ตอนแรกผมไม่ยอมเชื่อ จนกระทั่งเอเยนต์ของผมต้องส่งนิตยสารที่รายงานเรื่องนี้มาให้ดูกับตา”

Merde Actually ถ้าเป็นความหมายไทยๆ ก็คงประมาณ “แมร์ดจริงๆ นะเอ้อ” อะไรอย่างนั้น วงเล็บไว้หน่อยว่า ในระหว่างการทำงานจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ กองบรรณาธิการฟรีฟอร์มของเรา เรียกชื่อหนังสือเล่มนี้เล่นๆ ในออฟฟิศเราว่า “ขี้จริงๆ นะจ๊ะ” ซึ่งชื่อนี้คลาร์กตั้งล้อเลียนภาพยนตร์เรื่อง Love actually ในอเมริกาหนังสือเล่มนี้ใช้ชื่อว่า In the Merde for love ซึ่งในออฟฟิศเราก็เรียกมันเล่นๆ ว่า “ด้วยความรักจากกองขี้” ทั้งที่ความจริง คำว่า Merde นั้น มันเป็น “อะไรที่” มากกว่านั้นเยอะเลย ไม่เชื่อต้องลองอ่าน

หลังจากนั้นคลาร์กยังมีนวนิยาย Talk to the Snail ตามมาอีกเล่ม อ้อ ไหนๆ ก็วงเล็บมากันระเบิดเถิดเทิงขนาดนี้แล้ว ต้องบอกก่อนว่าเล่มนี้ไม่มีชื่อเล่นแบบส่วนตั๊วส่วนตัวสำหรับพวกเราแต่อย่างใด นอกจากมีทีมเราบางคนสงสัยว่า คลาร์กมีเรื่องอะไรมา “คุยกับหอยทาก”จนได้หนังสือเล่มเบ้อเริ่มเทิ่มขนาดนี้นะ

“ผมพยายามเล่นไอเดียกับหนังสือ Talk to the Snail อยู่ช่วงหนึ่ง ผมเริ่มคุยเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอยู่ในฝรั่งเศส ผมแบ่งมันเป็นบทบัญญัติ มันค่อนข้างจะ ผมจำบางประโยคได้ประมาณว่า “ถ้าคุณไปปารีส อย่าคิดเอาเองว่าการที่คนขับรถไม่จอดรถเมื่อเห็นสัญญาณไฟแดงและพยายามขับรถไล่ชนคุณนั้นเป็นความเกลียดส่วนตัว ผมอยากจะบอกว่าสัญญาณไฟแต่ละอันนั้นมันสัมพันธ์กัน ผมมีบทบัญญัติที่คล้ายคกันหลายหัวข้อ ผมพบว่ากว่าจะเก็บได้หมดคงต้องใช้เวลาหลายปี ผมก็เลยเริ่มเขียนมันแบบย่อๆ เช่นว่า “คุณจะไม่รักเพื่อนบ้านของคุณ” และ “คุณจะไม่ทำงาน” แต่ผมก็ยังมีปัญหาในการยัดเรื่องฝรั่งเศสพวกนี้ให้อยู่ในบทบัญญัติ 10 ประการของผมไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ”

“ผมต้องการจะเปิดแต่ละบทของหนังสือเล่มนี้ด้วยรูปภาพ ที่ผมเป็นคนเลือกเอง กฏหลักของผมและจะต้องมีคำอธิบายโง่ๆ ใต้ภาพ ผมยังเขียนดัชนีที่ช่วยค้นได้จริง แต่ก็ยังเป็นมุขในตัวของมันเอง คำอ้างอิงที่ผมใช้ก็อย่างเช่นคำว่า “แอลกอฮอล์” ให้ดูที่ “การขับรถ”, “ภัตตาคาร” ให้ดูที่ “แบคทีเรีย” และ “วันหยุดสุดสัปดาห์” ให้ดูที่ “การหยุดยาวบ่อยๆ” อะไรทำนองนี้”

หลายคนถามคลร์กว่าชื่อหนังสือมาจากไหน “มันมาจากมุก ๆหนึ่งครับ เดิมทีผมตั้งใจจะเล่าเรื่องตลกในหนังสือ แต่ผมทำพลาดไปนิดหน่อยตอนที่นำไปทดลองออกอากาศครั้งแรกที่สถานีวิทยุฝรั่งเศสช่วง Prim Time ผมพูดฝรั่งเศสได้ดีและเล่าเรื่องตลกได้ค่อนข้างเยี่ยม แต่เมื่อถึงเวลาประโยคปล่อยมุกตลกจริงๆ สถานีวิทยุกลับเงียบกริบนานมาก”

“มุกที่ผมเล่าวันนั้น เป็นเรื่องชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งเดิน เข้าไปที่ผับอังกฤษ พร้อมถือหอยทากตัวใหญ่ไปด้วยหนึ่งตัว พนักงานที่บาร์เห็นเข้าก็เลยถามว่า “พระเจ้า คุณไปเก็บมันมาจากไหนเนี่ย?” และหอยทากก็ตอบว่า “อ๋อก็เก็บมาจากฝรั่งเศสไง แถวนั้นมีพวกนี้เต็มไปหมดเลย” ถ้ามุกนี้ตลก ผมคิดว่ามันตลกก็เพราะแทนที่พนักงานที่บาร์จะพูดกับชายฝรั่งเศส (ผู้ที่ชอบคิดว่าตัวเองเป็น ศูนย์กลางของจักรวาล) แต่ทำไมเขาพูดกับหอยทาก ทั้งๆ ที่หอยทากนั้นพูดไม่ได้”

“ในทางกลับกัน เขาอยากจะพูดว่า ถ้าคุณต้องการรู้จักประเทศฝรั่งเศส อย่าถามคนฝรั่งเศสเลยดีกว่า เพราะ เขาจะตอบคุณในแบบที่เขาต้องการให้คุณได้ยิน โอ ใช่ เราเป็นนักรักที่เยี่ยมยอด และเรามีอาหารที่ดีเลิศที่สุดในโลก อะไรทำนองนั้น แต่เขาจะไม่บอกคุณหรอกว่าผู้หญิงฝรั่งเศสนั้น มีอันตราการบริโภคยาลดความเครียดมากที่สุดในโลก ซึ่งแสดงให้เห็นว่า บางทีผู้ชายฝรั่งเศสก็ไม่ “ฮอต” พอที่จะทำให้ผู้หญิงมีความสุขได้หรอกนะ หรือการที่ชาวฝรั่งเศสมักดูถูกและหงุดหงิดกับแฮมเบอร์เกอร์ แต่ถ้าคุณลองไปที่ถนนแซ็ง แชร์แมง ช่วงฤดูหนาว ช่วอาหารกลางวัน (ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวน้อยและร้านคาเฟ่ข้างทางก็ว่างมาก) คุณจะพบว่าร้านเบอร์เกอร์ฟาสต์ฟูดของอเมริกัน ยังมีลูกค้าชาวปารีสเข้าไปอุดหนุนมากมากกว่าคาเฟ่ฝรั่งเศสแท้ๆ เยอะเลย”

“ถึงแม้ว่าหอยทากจะพูดความจริงเกี่ยวกับฝรั่งเศส และหนังสือของผมก็เช่นกัน แต่อย่างไรเสีย ผมก็แค่หัวเราะคนฝรั่งเศสเท่านั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าผมเกลียดคนฝรั่งเศส หรือเกลียดประเทศหรอกนะ เพราะผมรักที่จะอยู่ที่ฝรั่งเศส และผมยังสรรเสริญการทำงาน 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ยกย่องการบริการสุขภาพของฝรั่งเศส ชื่นชมการลดความอ้วนแบบสมดุล รวมถึงความรักของคนฝรั่งเศสที่มีต่อทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตประจำวันของพวกเขาจริงๆ คนฝรั่งเศสรู้ดีว่าผมไม่ได้ดูถูกพวกเขา ผมแค่ล้อเล่น คุณต้องรู้ไว้ด้วยว่า เราจะล้อเล่นกับคนอื่นได้ก็ต่อเมื่อคุณรู้สึกรักพวกเขาเท่านั้น”

หลายคนที่ได้อ่าน A Year in the Merde ฉบับแปลภาษาไทยฝีมือ “มนันยา” ที่ออกวางจำหน่ายนำร่องมาแล้ว น่าจะรู้ดีว่าคำกล่าวของสตีเฟ่น คลาร์กนั้นเป็นจริงแค่ไหน ส่วนผลงานภาษาไทยเล่มใหม่ล่าสุดของเขาที่ออกวางจำหน่ายพร้อมกันทั้งหมดตอนนี้ แน่นอนว่าจะต้องเป็น Merde Actually และ Talk to the Snail ที่ฟรีฟอร์มบอกคุณได้คำเดียวเลยว่า “ห้ามพลาด!”




เกี่ยวกับผู้แปล : มนันยา ธนะภูมิ เกิดและเติบโตที่กรุงเทพฯ เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนราชินีและโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จบการศึกษาจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์-มหาวิทยาลัยและสถาบันรัฐประศาสนศาสตร์นานาชาติ กรุงปารีส มีผลงานเขียนหลากหลายทั้งเรื่องสั้น เรื่องยาว สารคดีท่องเที่ยว และงานแปล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชุดเลขานินทานายž หรือ ชาวเขื่อนž ที่เขียนจากประสบการณ์รับราชการกรมชลประทานอยู่หลายปี ทำให้ได้พบแง่มุมชีวิตผู้คนในสังคมชาวเขื่อนกิ่วลม จังหวัดลำปาง จึงนำมาเขียนด้วยอารมณ์
ขันแหลมคมเป็นเอกลักษณ์ ในขณะที่งานแปลก็มีชื่อเสียงโดดเด่น ทั้งสไตล์ลึกลับตื่นเต้น หักมุม และเรื่องรักลุ่มลึก หวาน มันส์ จึงเป็นที่ชื่นชอบของนักอ่านอย่างแพร่หลาย ผลงานเขียนและงานแปลของมนันยามีจำนวนมากมาย นอกจาก เลขานินทานาย, ชาวเขื่อน ก็ยังมีเกอิชา, วาริสดอกไม้ทะเลทราย, สิ้นแสงฉาน, ฮาเร็ม, แม่เล้า, เจ้าสาว, ในกรงทอง, กุชชี่ เพลิงพยาบาท, เทพบุตรรูปทอง, โลกีย์สีขาว ฯลฯ หลังจากลาเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด เมื่อปี 2543 มนันยาได้ทำหน้าที่เป็นอาจารย์พิเศษสอนปริญญาโทวิชาการแปล ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยรามคำแหง ทั้งยังเป็นวิทยากรบรรยายเรื่องการแปลอีกหลายที่





จากใจผู้แปล
มนันยา


เรื่องนี้เป็นเรื่องสนุกๆ อ่านสบายๆ บางตอนก็อ่านไปหัวเราะไปขณะแปล ดังนั้นผู้แปลจึงพยายามใช้ภาษาเบาๆ รื่นรมย์ให้เหมาะกับภาษาต้นฉบับ และในเมื่อตัวเอกในเรื่องเป็นชายหนุ่มวัยเพียง 27 ปี ซึ่งยังตลกคะนองพิลึกพิลั่นอยู่มาก ภาษาพูดจึงต้องเหมาะสมกับบุคลิกของตัวละครด้วย

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้เขียนจะต้องการเน้นมุกตลกที่เกิดจากความเข้าใจผิดทางวัฒนธรรมของคนอังกฤษและคนฝรั่งเศส การแปลจึงจำเป็นต้องมีเชิงอรรถเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายขึ้น

ผู้แปลต้องขอขอบคุณเพื่อนรักคืออาจารย์วรากุล บุณยเกตุ โอเทร่ต์ และอาจารย์อีฟ โอเทร่ต์ สามีชาวฝรั่งเศสของเธอที่ช่วยอธิบายปัญหาวัฒนธรรมและชื่อเฉพาะต่างๆ ของฝรั่งเศส

ขอบคุณพลอากาศโทหญิงสหัทยา ประภาวัตรและพลอยกะหรัด นานา นักเรียนอังกฤษทั้งสอง ผู้ซึ่งช่วยอธิบายภาษาพูดของคนอังกฤษ

รวมทั้งขอขอบพระคุณนายแพทย์ดนัย ตันงามตรง ผู้กรุณาอธิบายศัพท์เกี่ยวกับโรคในเรื่องนี้ให้ฟังง่าย เขียนง่าย และแปลง่ายขึ้นเป็นอันมาก

อย่างไรก็ตาม ชื่อเฉพาะและภาษาพูดที่เป็นภาษาฝรั่งเศสนั้น ผู้แปลได้เลือกที่จะออกเสียงแบบชาวปารีส ซึ่งบางครั้งจะไม่ตรงกับเสียงที่เขียนไว้ในพจนานุกรมฝรั่งเศส - ไทย เนื่องจากเหตุการณ์ในเรื่องเกิดในปารีสเกือบทั้งสิ้นนั่นเอง

มนันยา
กันยายน 2551




สารบัญ A Year in the Merde “ผ้าขี้ริ้วห่อชา”
มนันยา : แปล


เดือนกันยายน
ชาย 2 เมือง 013
เดือนตุลาคม
เหยียบแล้วเหยียบอีก 057
เดือนพฤศจิกายน
แบ่งกันนอน 097
เดือนธันวาคม
ทำกับข้าว พระเจ้าช่วย! 141
เดือนมกราคม
ที่พักผ่อนและหย่อนใจ 181
เดือนกุมภาพันธ์
ทำรัก 233
เดือนมีนาคม
ทางประตูหลัง 259
เดือนเมษายน
เสรีภาพและเสมอภาคเท่านั้น 299
เดือนพฤษภาคม
และอื่น ๆ 337



ตัวอย่างทดลองอ่าน
บทที่ 1 เดือนกันยายน “ชายสองเมือง”

© สงวนลิขสิทธิ์โดยฟรีฟอร์มสำนักพิมพ์ ในนามบริษัท ลมดี จำกัด ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดของหนังสือเล่มนี้ไปลอกเลียน ทำสำเนา ถ่ายเอกสาร หรือนำไปเผยแพร่ในอินเตอร์เน็ต หรือสื่อชนิดอื่นๆ ไม่ว่าในรูปแบบใด นอกจากจะได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น
Copyright © 2009 by Freeformbooks, Lomdee Co.,Ltd.
All rights reserved.



เดือนกันยายน
ชายสองเมือง

ปีใหม่ไม่ได้เริ่มต้นเดือนมกราคมหรอกนะขอบอก ชาวฝรั่งเศสเขารู้กันทั้งนั้นแหละ มีแต่คนอังกฤษเบ๊อะๆ บ๊ะๆ ต่างหากล่ะที่นึกว่าปีใหม่ตั้งต้นเดือนมกราคม

จริงๆ แล้วปีใหม่ตั้งต้นจันทน์แรกของเดือนกันยายนต่างหากล่ะครับ

นั่นคือวันแรกที่ชาวปารีสกลับเข้าทำงานหลังจากหยุดพักผ่อนประจำปียาวนานถึง 1 เดือน แล้วก็ลงมือทำงานอย่างเอาจริงเอาจังว่าเดือนพฤศจิกายนซึ่งจะได้หยุดย่อยอีกหนหนึ่งนั้นจะไปเที่ยวที่ไหนดีและนั่นก็เป็นวันแรกเช่นกันที่โครงการต่างๆ ของคนฝรั่งเศสเริ่มเคลื่อนที่ต่อไปใหม่ หลังการหยุดยาวทุกโครงการ ตั้งแต่เรื่องจิ๊บจ๊อยอย่างการออกแบบทรงผมไปจนถึงการทำงานของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์นั่นทีเดียว

นี่แหละคือเหตุผลที่ว่าเหตุใดผมจึงมายืนอยู่ห่างจากถนนช็องป์-
เซลิเซส์ 100 หลา มองดูผู้คนเขาจูบกันอุตลุดตอน 9 โมงเช้าของวันจันทร์แรกของเดือนกันยายนแบบนั้น

คริสเพื่อนรักของผมห้ามผมแล้วเชียวว่าอย่าไปเลยฝรั่งเศสน่ะ ชีวิตความเป็นอยู่ก็ดูโก้ดีอยู่หรอก เขาพูด อาหารก็อร่อย ผู้หญิงซึ่งมีความเห็นทางการเมืองอย่างผิด ๆ ก็ใส่ กกน. สวยซะด้วย แต่ว่าระวังนะเว้ย เขาเตือน คนฝรั่งเศสอยู่ด้วยลำบากอิ๊บอ๋าย คริสคงจะรู้ดีเพราะเขาทำงานธนาคารฝรั่งเศสสาขาลอนดอนมา 3 ปีแล้ว

พอทีมฟุตบอลฝรั่งเศสไม่ได้ถ้วยบอลโลกพวกเขาก็อารมณ์เสียพาลพาโลต่างๆ จนพวกเราชาวอังกฤษอดระอิดระอาไม่ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญนะ มันมีสาเหตุมาจากฟุตบอลจริงๆ เขาบอกผม

คนฝรั่งเศสในสายตาของคริสนั้นเหมือนกับผู้หญิงที่เรารู้สึกยี้ ตอนปี 1940 นั้นพวกเขาพยายามเอาอกเอาใจและบอกว่ารักเราต่างๆ นานา แต่พวกเรากลับหัวเราะขันสำเนียงพูดอังกฤษของพวกเขา แล้วก็ล้อจมูกโตๆ ของนายพลชาร์ลส์ เดอ โกลล์ แล้วจากนั้นเป็นต้นมาพวกเราชาวอังกฤษก็แกล้งคนฝรั่งเศสเป็นการใหญ่ ด้วยการหลอกให้กินอาหารไม่อร่อยของอังกฤษ แล้วก็พยายามจะหว่านล้อมให้คนเลิกพูดภาษาฝรั่งเศส พวกเขาก็เลยแค้นพวกเรามาก ถึงกับสร้างค่ายผู้อพยพไว้ที่ปากอุโมงค์
ยูโรแล้วยังไม่ยอมกินเนื้อวัวอังกฤษทั้งๆ ที่ปลอดภัยจากโรควัวบ้ามาตั้งหลายปีแล้ว

เราต้องแก้แค้นนะโว้ย คริสบอก ต้องแอนตี้มัน อย่าไปเลยว้า
เฮ้ยไม่ได้ ผมบอกเขา ฉันต้องไปว่ะ จะไปเช็คดูให้แน่เรื่อง กกน.สวยนั่นน่ะ

ถ้าคุณย้ายงานด้วยเหตุผลแค่จะไปดู กกน. ผู้หญิงถิ่นอื่นก็แปลว่าคุณกำลังเดินไปสู่หายนะแล้วแน่ๆ แต่สำหรับผมไม่ใช่ยังงั้น เพราะสัญญาจ้าง 1 ปีของผมนั้นดีมากทีเดียว

ที่ทำงานใหม่ของผมเป็นอาคารสมัยศตวรรษที่ 19 ก่อด้วยหินสีเหลืองนวลๆ ดูโก้ ผมเดินเข้าไปข้างใน

ในห้องโถงชั้นล่างนั้นแม้แต่คนที่รอลิฟต์อยู่ก็ยังจูบกันพลางๆ ขณะรอ จูบกันอยู่หน้าตู้ขายเครื่องดื่มอัตโนมัติก็มี แม้แต่พนักงานต้อนรับสาวก็ชะโงกข้ามเคาน์เตอร์มาจูบกับใครบางคน .... เป็นผู้หญิงซะด้วย ...ซึ่งเดินนำหน้าผมเข้ามาในตึก

ว้าว! ผมนึก นี่ถ้าคนนึงเป็นโรคผิวหนังที่ใบหน้าและกลัวระบาดละก็ คงต้องสวมถุงยางอนามัยที่หัวมั้งเนี่ย!

ผมน่ะรู้หรอกนะว่าคนฝรั่งเศสเค้าจูบแก้มทักทายกัน แต่ไม่นึกว่าจะจูบอะไรกันนักกันหนาปานนี้ ทำให้อดนึกอยากรู้ไม่ได้ว่าเป็นนโยบายของบริษัทหรือเปล่า ที่ให้พนักงานต้องจูบทักทายกันไปมาเพื่อความสดชื่นรื่นเริงในการทำงานหลังจากหยุดไปนานแบบนี้

ผมก้าวเข้าไปใกล้เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ซึ่งผู้หญิง 2 คนนั่นหยุดจูบกันแล้ว และกำลังจ้อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารต่างๆ นานา บริษัท
นี้คงไม่เห็นประโยชน์ในการจ้างพนักงานต้อนรับหน้าแฉล้ม เพราะ
พนักงานต้อนรับที่นี่หน้าตายังกะกะเทย และเหมาะจะเอาไว้แยกเขี้ยวยิงฟันหลอนลูกค้าแทนที่จะเอาไว้ยิ้มแย้มทักทาย หล่อนกำลังบ่นอุตลุดให้เพื่อนฟังเรื่องอะไรก็ไม่รู้ผมฟังไม่ออก

ผมยิ้มประจบแบบเด็กเข้าใหม่ แต่หล่อนไม่ยักสน ผมยืนทำท่าอ่อนน้อมแบบ ผมมาแล้วคร้าบ ช่วยถามผมหน่อยซิคร้าบว่าผมมาทำไมมีธุระอะไร แต่นาทีเต็มๆ ผ่านไปหล่อนก็ยังเฉย ดังนั้นผมจึงก้าวเข้าไปอีกก้าวหนึ่งแล้วร่ายภาษาฝรั่งเศสที่อุตส่าห์ท่องมาเป็นอย่างดี

บ็องชูร์ เชอ ซุย พอล เวสต์ เชอ เวียง วัวร์ เมอซิเออร์ มาร์แต็ง .... สวัสดีครับ ผมชื่อพอล เวสต์ ผมมาพบเมอซิเออร์ มาร์แต็ง

ผู้หญิงทั้ง 2 ยังคงคุยจ้อเรื่องเดเชอเน่ร์ ซึ่งผมแปลออกว่า หมายถึงอาหารกลางวัน แล้วก็ทำท่าทางบุ้ยใบ้อีกประมาณ 10 หนว่าชั้นจะโทรถึงเธอนะ ก่อนที่พนักงานต้อนรับจะหันมาทางผมเสียที

ว่าไงคะ ไม่ยักขอโทษขอโพยแน่ะ พวกหล่อนอาจจะจูบทักทายกันได้ ผมก็ส่งจูบลาได้เหมือนกันนะรู้ซะมั่ง

ผมพูดประโยคที่ท่องมา พยายามพูดเชียว

บ็องชูร์ เชอ ..... ผมสะกดกลั้นความโกรธและคำด่ายืดยาวเป็นเส้นสปาเก็ตตี้เอาไว้จนสุดความสามารถ พอล เวสต์ ผมบอก เมอซิเออร์ มาร์แต็ง จะต้องพูดเต็มประโยคไปทำไมกัน ผมฝืนยิ้มอีกครั้ง

พนักงานต้อนรับซึ่งป้ายชื่อเขียนว่ามารีอานน์ซึ่งมีบุคลิกดุร้ายเหมือนฮันนิบาล เล็คเตอร์ กระแทกกระทั้นบอกว่า

จะโทรบอกผู้ช่วยก่อน

ผมได้ยินเสียงหล่อนนึกในใจเชียวว่า โธ่เอ๊ย! พูดฝรั่งเศสก็ไม่เป็น แต่ก็ไม่แน่ บางทีหล่อนอาจจะนึกในใจว่า แหม! เดอ โกลล์น่ะจมูกโต๊โต อยู่ก็ได้ใครจะรู้ ยายบ้าเอ๊ย !

หล่อนยกหูโทรศัพท์ขึ้นแล้วกดเบอร์ ระหว่างนั้นก็มองกวาดดูผมตั้งแต่หัวจดเท้าขึ้นๆ ลงๆ คล้ายกับนึกในใจว่าน้ำหน้าอย่างนี้เรอะมาหานายใหญ่ เชอะ!

สารรูปผมเลวร้ายถึงเพียงนั้นเชียวเรอะ ผมนึก ผมก็ได้พยายามปรับปรุงให้ดูดีเท่าที่คนอังกฤษในปารีสควรจะเป็นแล้วเชียวนา สูทที่สวมก็เป็นสูทตัวเก่งสีเทาเข้มเกือบดำของพอล สมิธ (เป็นสูทพอล สมิธชุดเดียวที่ผมมี พูดอย่างนี้จะถูกกว่า) และเสื้อเชิ้ตก็ขาวจั๊วะยังกะเอาตัวไหมไปฟอกสี ก่อนสาวเอาเส้นไหมมาทอเป็นผ้าตัดเสื้อเลยทีเดียว เนคไทของแอร์เมสนั้นเล่าก็แสนจะแสบตาทรงพลัง ชนิดที่ถ้าเอาไปชาร์ตไฟก็จะได้กระแสไฟพอให้รถใต้ดินวิ่งได้ทั่วปารีส ประมาณนั้นเลยแหละ ผมน่ะถึงขนาดนุ่ง กกน. ไหมสีดำเพื่อเพิ่มพลังจากภายในเลยนะ ไม่ใช่แต่ผู้หญิงฝรั่งเศสเท่านั้นที่มีสิทธิ์สวม กกน. เจ๋งๆ ได้ รู้ซะมั่ง

ผมไม่ได้ดูซอมซ่อตรงไหนเลยจนนิดเดียว โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับผู้คนที่เดินเข้ามาในอาคารนี้ พวกผู้ชายน่ะดูยังกะดิลเบิร์ต* 
ส่วนพวกผู้หญิงก็สวมกระโปรงธรรมดาๆ ที่เห็นตามแคตตาล็อก แล้วก็สวมรองเท้าที่ใส่แล้วเดินสบายมากแต่ไม่สวย

คริสตีนเหรอ คุณเอ้อ ......มารีอานน์พนักงานต้อนรับเหลือบตามาทางผมเป็นเชิงให้ทำอะไรสักอย่าง

ผมก็รู้เหมือนกันว่าถึงคิวผมที่จะต้องทำอะไรบางอย่าง แต่ดันไม่รู้เสียนี่ว่าต้องทำอะไร

ชื่อค่ะชื่อ มารีอานน์บอก เหลือกตาขึ้นอย่างเซ็งและเบื่อหน่ายในความเซ่อของผม

พอล เวสต์ ผมบอก

โปล เวสส์ มารีอานน์กรอกเสียงลงไป มาพบเมอซิเออร์มาร์
แตง หล่อนวางหู นั่งตรงนั้น หล่อนบอกผม ลากเสียงช้าชัดเหมือนกำลังพูดอยู่กับคนฝรั่งเศสที่เป็นอัลไซเมอร์

พวกนายๆ นั้นก็มักเก็บพนักงานสาวๆ สวยๆ ไว้ในห้องทำงานของตัวเองเสมอ เห็นได้ชัดจากคริสตีนผู้ช่วยของเมอร์ชิเออร์มาร์แต็งซึ่งมารับผมขึ้นไปยังบริษัทที่อยู่ชั้น 5 หล่อนเป็นสาวสวยผมสีน้ำตาล ท่าทางมั่นอกมั่นใจ ริมฝีปากทาสีเข้มนั้นเวลายิ้มก็สามารถสลายกางเกงผู้ชายได้ในระยะ 20 ก้าว ในลิฟท์นั้นผมยืนห่างจากหล่อนเพียงไม่กี่นิ้ว มองต่ำลงไปสบตากับหล่อน และสูดกลิ่นน้ำหอมที่ระเหยจากตัวหล่อน มันมีกลิ่นอบเชยระคนมาด้วยกลิ่นอ่อนๆ โฮ้ย! น่ากิ๊น

มันเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่คุณนึกในใจว่าลิฟท์ติดทีเถอะวะ ค้างมันระหว่างชั้นนั่นแหละดี! ผมน่ะฉี่เสร็จเรียบร้อยแล้ว คอยนานแค่ไหนผมก็คอยได้ ขอเวลานอกสักชั่วโมง 2 ชั่วโมงให้ผมได้หว่านเสน่ห์ใส่สาวสักหน่อยก็จะดีไม่น้อย

แต่ปัญหาก็คือผมคงจะต้องสอนภาษาอังกฤษให้หล่อนเสียก่อน เพราะเมื่อผมพยายามจ้อ หล่อนก็ยิ้มเจื่อนๆ แล้วขอโทษขอโพยเป็นภาษาฝรั่งเศสว่าไม่เข้าใจที่ผมพูดเลยซักคำ แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยก็ยังมีชาวปารีสคนนึงล่ะน่าที่ไม่ได้ทำท่าว่าเกลียดผม

เราเดินไปตามช่องทางเดินระหว่างห้อง ซึ่งฟากหนึ่งเหมือนคฤหาสน์โกธิคและอีกฟากหนึ่งเหมือนรถบรรทุกสินค้า ทางเดินนั้นปูพรมลายตะวันออก เว้นขอบให้เห็นไม้กระดานซึ่งขัดมันวาววับและส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเวลาเหยียบ เพดานและผนังเป็นลวดลายปูนปั้นดูโบราณ แต่บานประตูถูกถอดออกแล้วใส่กระจกเคลือบสีไว้แทน กลายเป็นประตูกระจกยุค 1970 ที่สวยแบบเก่าๆ และเพื่อผสมผสานให้ความแตกต่างกลมกลืนกัน จึงมีต้นไม้กระถางวางประดับช่องทางเดินมากจนรกเป็นป่าพอจะทำสงครามกองโจรได้เลย

คริสตีนเคาะประตูกระจก เสียงผู้ชายร้องบอกออกมาว่า อ็องเทร่ซ์ ...เชิญ


ผมก้าวเข้าไป แล้วก็พบเขานั่งอยู่ตรงช่องหน้าต่างซึ่งมองออกไปเห็นหอไอเฟลโผล่ออกมาจากหมู่เมฆ เจ้านายคนใหม่ของผมลุกขึ้นยืนต้อนรับแล้วเดินอ้อมโต๊ะออกมาหา


เมอร์ซิเออร์มาร์แต็งŽ ผมยื่นมือออกไปสัมผัส ยินดีที่ได้พบกัน
อีกนะครับ

เรียกผมว่าช็อง-มารี เถอะ เขาบอกด้วยภาษาอังกฤษที่เยี่ยมมากมีแปร่งเพียงนิดเดียวเท่านั้นเอง เขาจับมือกับผมแล้วดึงผมติดมือเข้าไปใกล้เสียจนผมนึกว่าเราคงจะต้องจูบแก้มกันเสียแล้วซิ แต่เปล่าหรอก เขาแค่อยากจะตบบ่าผมเท่านั้นเอง ยินดีต้อนรับสู่ฝรั่งเศส เขาบอก

เจ๋งว่ะ! ผมนึก มีคนชอบหน้าตู 2 คนแล้วนะ!

ช็อง-มารี นั้นมาดดีทีเดียวสำหรับการเป็นประธานบริษัท เขาอายุราว 50 แต่ดวงตาสีดำก็ยังเปล่งประกายแบบคนหนุ่ม ผมของเขาเริ่มบางแล้วแต่ตัดสั้นและหวีเสยไปข้างหลังก็เลยไม่ค่อยรู้สึก ใบหน้าเขาดูเปิดเผย บอกความเป็นมิตร

เขาร้องขอกาแฟ ผมสังเกตเห็นว่าเขาใช้สรรพนาม ตูž กับคริส
ตีนขณะที่หล่อนใช้สรรพนาม วูส์ กับเขา* ผมยังสับสนกับการเลือกใช้สรรพนามจนแล้วจนรอด


นั่งซิ พอล ช็อง-มารี บอก กลับมาพูดภาษาอังกฤษกับผม อะไรๆ เรียบร้อยดีมั้ย การเดินทางเป็นไง โรงแรมล่ะ


อ๋อ เรียบร้อยดีครับ ขอบคุณครับ เป็นการทักทายปราศรัยธรรมดาๆ แต่ช่วยให้คุ้นเคยกันขึ้น

ดี .... ดี ... เวลาที่เขามองคุณๆ จะรู้สึกคลับคล้ายว่าทุกข์สุขของคุณนั้นเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเขาที่สุดในโลกเลยทีเดียว อบอุ่นใจเสียมิมี พอลเค้าจะชอบโรงแรมที่พักของเค้ามั้ยนะเนี่ย เป็นเรื่องใหญ่ในวันนั้นสำหรับประธานบริษัทเชียวนะ

ทุกคนที่นี่ดูมีความสุขกันจริงๆ เลยครับ จูบกันไปมา ผมพูด

อ๋อ ใช่ เขามองออกไปยังช่องทางเดินประหนึ่งมองหาใครสักคนที่เดินผ่านมาเอามาจูบแก้มจุ๊บ ... จุ๊บ แบบฝรั่งเศส ก็เป็นวันกลับมาทำงานวันแรกไงคุณ คล้ายๆ เรากลับมาถึงโลกหลังไปท่องเที่ยวอวกาศมางั้นแหละ สำหรับชาวปารีสที่ไหนที่ไกลกาเลอรี่ส์ ลาฟาแยตต์เกิน 10 กิโลเมตรเราถือว่าเป็นอีกดาวนพเคราะห์หนึ่งแล้วรู้หรือเปล่า เราไม่ได้พบเพื่อนร่วมงานมาตั้งเดือนเต็มๆ เราก็ต้องดีใจที่ได้พบกันอีกเป็นธรรมดา
เขาพ่นลมหายใจออกทางจมูกคล้ายเสียงหัวเราะฟืดหนึ่ง ก่อนจะพูดขันๆ ว่า แต่บางทีก็ไม่ได้ดีอกดีใจอะไรหรอกนะ เพียงแต่ปฏิเสธไม่จูบตอบเขาไม่ได้เท่านั้นเอง

ถึงแม้เขาจะเป็นผู้ชายก็ตามทีหรือครับ

ช็อง-มารี หัวเราะ

นี่คุณคิดว่าผู้ชายฝรั่งเศสเป็นกะเทยหรือไงที่จูบแก้มกันน่ะ

เปล่าครับเปล่า ไปเหยียบตาปลาเขาเข้าแล้วซิตู ผมนึก

ดีแล้ว

ผมอดนึกในใจไม่ได้ว่านี่ถ้าคริสตีนคนสวยอยู่ในห้องด้วย เขาคงปลดกางเกงลงแล้วพิสูจน์ความเป็นผู้ชายกับหล่อนให้ผมดูแน่ๆ เลย

เขาตบมือเหมือนจะขับไล่ฮอร์โมนที่คลุ้งอยู่ขณะนั้น

ห้องทำงานของคุณอยู่ติดกับห้องผมนี่แหละ เราจะได้เห็นวิวเดียวกันเลย วิวสวยนะว่ามั้ย เขาผายมือไปทางช่องหน้าต่างเหมือนจะโชว์ดารา ซึ่งวิวก็สวยจริงๆ เสียด้วย

ถึงคุณจะทำงานในปารีสก็ใช่ว่าคุณจะได้วิวหอไอเฟลเสมอไปหรอกนะ เขาพูดอย่างภูมิใจ

เยี่ยมครับ ผมบอก

ใช่ เยี่ยม เราอยากให้คุณมีความสุขที่ทำงานกับเราไง ช็อง-มารี
บอก ตอนนั้นน่ะเขาคงพูดจากใจจริงแน่ๆ

ตอนผมเจอเขาครั้งแรกในลอนดอนนั้น ช็อง-มารีเล่าคล้ายๆ กับว่าการมาทำงานกับเขาที่บริษัทวิยอง ดีฟือซิย็องนั้นจะเป็นการทำงานแบบคนในครอบครัวช่วยกันทำ เขาจะเป็นลุงผู้แสนดีของพวกเราหลานๆ ไม่ใช่เป็นเจ้าพ่อก๊อดฟาเธอร์หรือเป็นพี่ชายใหญ่ที่แสนดุ

ช็อง-มารี รับช่วงกิจการบริษัทจัดจำหน่ายเนื้อวัวจากพ่อของเขาซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งกิจการเมื่อ 10 ปีก่อน พ่อของเขาก่อร่างสร้างตัวจากคนขายเนื้อธรรมดาๆ จนบัดนี้บริษัทก็มีถึง 4 โรงงานแล้ว โรงงานนี้หมายถึงโรงงานผลิตขนาดใหญ่ มีวัวเป็นๆ อยู่ฟากหนึ่งและเนื้อวัวบดอีกฟากหนึ่ง โดยมีสำนักงานใหญ่แยกต่างหากด้วย ยอดจำหน่ายนั้นสูงทีเดียว ซึ่งต้องขอบใจคนฝรั่งเศสซึ่งกำลังชื่นชอบแฮมเบอร์เกอร์กันเป็นนักเป็นหนา แต่พวกเขาก็ยังเรียกแฮมเบอร์เกอร์ด้วยภาษาฝรั่งเศสอย่างชาตินิยมว่า 
สเต๊ก อาชเช่ ไม่ยอมเปลี่ยน

ตอนที่ช็อง-มารี ชวนผมมาทำงานด้วยนั้น ผมว่าเขากำลังเบื่อการทำงานกับเนื้อสัตว์และตับไตไส้พุงเต็มทีแล้ว จึงอยากทำอะไรอย่างอื่นๆ ดูบ้าง โครงการ อังกฤษ ที่เขาให้ผมรับผิดชอบก็คือการทำให้ผู้คนลืมพื้นเพโชกเลือดของเขาเสียให้ได้ นี่แหละเขาถึงได้ดีอกดีใจต้อนรับขับสู้ผมนักหนา

ที่ผมจะต้องทำในตอนแรกนี้ก็คือทำยังไงเพื่อนร่วมงานจึงจะชอบผมเหมือนที่ท่านประธานชอบ
เรื่องแรกนะครับ ช็อง-มารี ผมพูดขณะที่เขาจูงเกือบประคองผมไปตามช่องทางเดินสู่ห้องประชุม ผมอยากรู้ก่อนว่าเวลาพูดกับทุกๆ คนที่นี่ผมควรใช้สรรพนามตูหรือวูส์

อ๋อ เรื่องนี้ง่ายนิดเดียว คุณและสถานภาพแบบที่คุณเป็นอยู่นี่คุณเรียกทุกคนว่าตูได้เลย เว้นแต่บางคนที่ดูแล้วแก่กว่าแน่ๆ เท่านั้น หรือคนที่คุณยังไม่ได้รับการแนะนำให้รู้จักก็ต้องวูส์ คนที่นี่ส่วนมากจะพูดกับคุณว่าตูทั้งนั้น มีบางคนเท่านั้นที่เด็กกว่ามาก เขาก็จะวูส์กับคุณ หรือเขายังไม่ได้รับการแนะนำให้รู้จักกับคุณ โอเคมั้ย

อ้อ ครับ ชัดเจนแจ่มแจ๋วยังกะซุปหัวหอมเลยล่ะ

แต่ในทีมงานของคุณทุกคนจะใช้ภาษาอังกฤษอยู่แล้ว

ภาษาอังกฤษหรือครับ ผมไม่ควรพูดฝรั่งเศสเข้าพวกกับพวกเขาหรอกเรอะ

ช็อง-มารีไม่ตอบ เขาดันศอกผมเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเราก็ผลุบเข้าไปในห้องประชุม มันเป็นห้องที่ยาวตลอดความกว้างของอาคารและมีหน้าต่าง 2 ฟาก ฟากหนึ่งเห็นหอไอเฟล อีกฟากหนึ่งมองเห็นลานและอาคารกระจกแบบทันสมัย

มีคน 4 คน อยู่ในห้องแล้ว ผู้ชายคน 1 กับผู้หญิงคน 1 ยืนปรึกษากันอยู่ที่ช่องหน้าต่างด้านลานตึก ส่วนผู้ชายกับผู้หญิงอีกคู่หนึ่งนั่งเงียบๆ อยู่ที่โต๊ะประชุมรูปไข่

เอ้าทุกคน นี่พอลนะ ช็อง-มารีร้องบอกเป็นภาษาอังกฤษ

เพื่อนร่วมงานของผมหันมา ผู้ชายทั้ง 2 คนนั้น คนหนึ่งรูปร่างล่ำสัน ผมบลอนด์และสูงมาก อายุราว 40 ปี ส่วนอีกคนอายุน้อยกว่า ผอมมากและหัวล้านแล้ว ผู้หญิงสองคนนั้นคนหนึ่งผมเป็นสีทองตามธรรมชาติเหมือนสีน้ำผึ้งอายุราว 30 ปี ผมรวบเป็นหางม้าและคางยื่นนิดหน่อยซึ่งทำให้หายสวยไปเลย ส่วนอีกคนหนึ่งหน้ากลมท่าทางใจดีอายุราว 35 ปี ตาโตสีน้ำตาลและสวมเสื้อสีชมพูเชยๆ

ผมจับมือกับทุกคนแล้วก็ลืมชื่อทุกคนในเกือบจะทันที

เรานั่งลงที่โต๊ะประชุม ผมกับช็อง-มารีนั่งฟากหนึ่ง เพื่อนร่วมงานทั้ง 4 นั่งอีกฟากหนึ่ง

โอเค พวกเรา นี่เป็นช่วงเวลาแห่งความตื่นเต้นแล้วนะ ช็อง-มารี ประกาศ เรากำลังจะทำในสิ่งซึ่งคนอังกฤษเรียกว่าการสยายปีก เรากำลังจะโบยบินไปยังขอบฟ้าใหม่ที่ยังไม่รู้จัก ในเมื่อเราเชื่อแน่ว่าเราจะประสบผลสำเร็จในธุรกิจร้านอาหารอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะธุรกิจอาหารของฝรั่งเศสจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเนื้อบดจากเรา ดังนั้นเราจึงจะสยายปีกไปหาผลประโยชน์จากร้านน้ำชาแบบอังกฤษดูบ้าง ซึ่งเราก็ได้คนที่มีความรู้ในธุรกิจนี้เป็นอย่างดีมาช่วยงานตรงนี้แล้ว

เขาผายมืออย่างปลื้มๆ มาทางผม

ก็อย่างที่พวกคุณรู้นั่นแหละ ว่าพอลเคยเป็นหัวหน้าแผนกดูแลเรื่องการตลาดของร้านกาแฟซึ่งเป็นสาขาของร้านกาแฟดังของฝรั่งเศสในอังกฤษ ร้านวูเลซ์-วูส์ คาเฟ่ อาแว็ค มัว ยังไงล่ะ คุณคุมร้านกาแฟอยู่กี่ร้านนะพอล

ตอนผมออกจากบริษัทก็มีอยู่ 35 ร้านครับ แต่นั่นมัน 2 สัปดาห์มาแล้ว ป่านนี้จะเพิ่มเป็นกี่ร้านแล้วผมก็ไม่รู้เหมือนกัน

ผมพูดตลกเล่นๆ แต่ทุกคนในห้องมองผมตาแป๋ว เชื่ออย่างที่ผมพูดเพราะคิดว่าอะไรๆ ที่เป็นอังกฤษหรืออเมริกันนั้นย่อมมหัศจรรย์ทั้งนั้น

จริงๆ นะ ช็อง-มารี ก็พลอยเลื่อมใสตามไปด้วย ผมเห็นความสำเร็จของพวกเขาแล้วก็อยากได้หัวหน้าแผนกการตลาดมาทำงานให้เรามั่ง เพราะฉะนั้นผมก็เลยเดินทางไปลอนดอนแล้วก็ตัดคอพอลมา ผมใช้คำว่าตัดคอนี่ถูกมั้ย

ลากคอครับ ผมแก้

ใช่ ใช่ ขอบคุณ ผมเชื่อว่าพอลคงจะสามารถนำความสำเร็จมาสู่ร้านกาแฟแบบอังกฤษในฝรั่งเศสได้ เหมือนๆ กับที่เคยทำให้ร้านกาแฟแบบฝรั่งเศสในอังกฤษมาแล้ว เอาล่ะ บางทีคุณคงอยากแนะนำตัวเองบ้างกระมังพอล เขาพูด

ได้ครับ ผมชื่อพอล เวสต์ ครับ ผมบอกทุกคน แล้วก็เห็นเพื่อนร่วมงานหน้าใหม่พยายามฝึกหัดออกเสียงชื่อผมในทันที ผมเป็นคนวางรูปแบบธุรกิจของร้านกาแฟวูเลซ์-วูส์ กาเฟ่ อาแวค มัว สาขาอังกฤษ เราออกสู่ตลาดเมื่อเดือนกรกฎาคมปีก่อน วันที่ 14 กรกฎาคมวันบาสตีญ์เลยละครับ เปิดพร้อมกัน 5 ร้านทั้งในลอนดอนแล้วก็เมืองทางตะวันออกเฉียงใต้ แล้วก็ทยอยเปิดอีก 3 ละลอกๆ ละ 10 ร้าน ตามเมืองใหญ่ๆ ของอังกฤษและในศูนย์การค้าดังๆ ผมเอารายงานมาด้วย พวกคุณจะได้อ่านอย่างละเอียดว่าขั้นตอนการทำงานมีอะไรยังไงมั่ง ก่อนหน้านั้นผมก็เคยทำงานในโรงเบียร์มาก่อน บริษัทผลิตเบียร์น่ะครับŽ ผมเปลี่ยนคำเรียกเมื่อเห็นพวกเขานิ่วหน้าไม่เข้าใจ ประวัติผมก็มีแค่นี้แหละครับ

คุณนุ่มมาก ผู้ชายคนผอมพูด ไม่ได้ต่อว่าผมหรอกแต่สีหน้าก็บอกว่าไม่ค่อยชอบใจ

ก็ไม่หนุ่มนะครับ ผมอายุ 27 แล้ว นี่ถ้าเป็นดาราร็อคก็โรยแล้ว ผมค้าน

คนผอมทำท่าขอโทษขอโพย

ไม่ใช่ ไม่ใช่ พมมายด้ายวิชาน ผมแค่.....ชื่นชม สำเนียงพูดของเขาแปลกทีเดียว ไม่ค่อยเป็นคนฝรั่งเศสพูดอังกฤษเท่าไหร่นะผมว่า

อา! พวกเราทุกคนก็ชื่นชมพอลทั้งนั้นแหละ ช็อง-มารี พยายามทำให้ผมสบายใจว่าพวกเขารับผมเข้าทีมอย่างเต็มอกเต็มใจเพียงไร เอ้า ทำไมพวกเราไม่แนะนำตัวเองมั่งล่ะ เขาพูด แบร์นาร์ด์แน่ะ เริ่มก่อนเลย แบร์นาร์ด์ก็คือผู้ชายรูปร่างสันทัดตัดผมทรงลานบินและมีหนวดสีทองขลิบเล็มประณีต ท่าทางเขาเหมือนตำรวจสวีเดนที่เกษียณอายุก่อนกำหนดเพราะเท้าเจ็บ เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าซีดๆ เหมือนสีตก ผูกเนคไทแดงที่ไม่ค่อยจะแดง แบบว่ายังแดงไม่เป็น ผู้ชายคนนี้ที่หน้าผากควรสักว่า โง่ครับ แต่ถ้าสักอย่างนั้นบางทีอาจจะเป็นการยกย่องเกินไปก็ได้

แบร์นาร์ด์ยิ้มอย่างประหม่าแล้วก็เริ่มแนะนำตัวเอง

โผม ฉือ แบร์นาร์ด์ โผมทำปราสาน ... น ..... งาน ....

เวร! ผมร้องในใจ ไหนช็อง-มารีบอกว่าเราจะประชุมกันเป็นภาษาอังกฤษยังไงล่ะ ทำไมถึงได้มีคนพูดภาษาฮังกาเรียนขึ้นมายังงี้

แบร์นาร์ด์ ออฟ บูดาเปสต์ พูดต่อไปด้วยสำเนียงคนฝรั่งเศสพูดอังกฤษซึ่งผมฟังไม่รู้เรื่องเลยอีกราว 2-3 นาที จากนั้นจึงลงมือแถลงอะไรบางอย่างซึ่งคงจะสำคัญเอาการ สังเกตจากการทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนท้องผูกของเขา

โผมยิ้นดีที่จาด้ายทามงานร้วมกับคูณขรับ

นิ่งๆ ไว้ ผมเตือนตัวเอง ถึงผมจะพูดภาษายุโรปกลางไม่ได้แต่ก็พอจะเดาออกล่ะนะ เขายินดีที่จะได้ทำงานร่วมกับผมไง ให้ตายเถอะไอ้จ่อย เขาพูดอังกฤษก๊ะเอ็งนะนั่น เพียงแต่เอ็งมันเสือกฟังไม่รู้เรื่องเท่านั้นเอง

ขอบใจมากแบร์นาร์ด์ ช็อง-มารีบอก ยิ้มอย่างให้กำลังใจ นี่เขาเลือกแต่พวกแย่ๆ มาเพื่อส่งเสริมให้เขากลายเป็นคนพูดภาษาอังกฤษดีหรือไง ผมคิดว่างั้นนะ เอ้า! ต่อไป มาร์ค

มาร์คคือผู้ชายที่หนุ่มกว่า ผอมโกรกแล้วก็หัวล้าน เขาสวมเสื้อเชิร์ตสีเทาแก่ ปลดกระดุมเม็ดบนสุดตรงคอแล้วก็ไม่ได้รีด ปรากฏว่าเขาเคยอยู่ทางตอนใต้ของสหรัฐมา 2-3 ปี เพราะฉะนั้นภาษาอังกฤษเขาจึงฟังแปลกคล้ายสคาร์เล็ตโอ ฮาร่า ตอนดื่มเหล้าแปร์โนด์มากเกินไป

โผมเปนฮัวหน่าอาตี เขาบอก

ฮัวหน่าอาตี ผมทวนคำที่เขาพูด ทำท่าเข้าอกเข้าใจขณะที่นึกแทบแย่ว่ามันอะไรของมันวุ้ย ตีนี่คงจะเป็นที ...ชา ละกระมัง ต้องชาถูกต้องแล้วล่ะถึงจะตรงประเด็น

ขรับ ก็อมปูดาซิสเต็ม มาร์ค ย้ำ

อ๋อ! ไอ.ที. นั่นเอง! ผมร้อง มาร์คทำตาเขม็งอย่างไม่ชอบใจ ผมเลยต้องพูดต่ออย่างรวดเร็วว่า ภาษาอังกฤษของคุณดีมากนะ คุณอยู่อเมริกามากี่ปีน่ะ

โผมทามปี 1 กับอีกขรึ่ง ปริญญาโทที่จอจาเสตท แลวโผมก็ทามงานฮ้าปีที่บอริสัดปรากานในแอตแลนต้าในพะแนกอาตีขรับ

แน่นอน ผมสนอง

โอเค มาร์ค เอ้าต่อไปสเตฟานี ช็อง-มารีทำหน้าที่โฆษก

สเตฟานีเป็นผู้หญิงผมบลอนด์คนที่คางยื่นนั่นเอง

ภาษาอังกฤษของหล่อนติดสำเนียงฝรั่งเศสรุนแรงมาก ไวยากรณ์ก็เหลือรับประทาน แต่ตอนนี้ผมปรับหูให้ฟังเก่งขึ้นแล้วจึงพอไหว สเตฟานีรับผิดชอบด้าน จัดสือ (จัดซื้อ) ของงานด้านแปรรูปเนื้อวัวของบริษัท หล่อนมีความ ยีนดีม้าก ...ก ... ที่จะได้มาช่วยงาน ร้านน้ำชาแบบอาง
กริ๊ด

เห็นได้ชัดว่าสเตฟานีก็เหนื่อยยากกับการพูดภาษาอังกฤษพอๆ กับการฟัง พอพูดแนะนำตัวสั้นๆ จบลง หล่อนก็หันไปมองช็อง-มารี ตาขุ่นๆ เป็นเชิงว่า เอ้า! พูดจบตามที่คุณต้องการแล้ว พอใจหรือยังล่ะอีตาซาดิสต์!


ขอบใจมาก สเตฟานี ต่อไปนิโคลŽ ช็อง-มารีสั่งผู้หญิงอีกคนหนึ่งซึ่งผมสีเข้มตัดสั้น เป็นคนพูดเสียงเบาแต่ก็ชัดเจนดี หล่อนเป็นสมุห์บัญชีใหญ่ของบริษัทและมาดูแลเรื่องการเงินให้โครงการใหม่นี้ด้วย

คุณเคยไปอังกฤษใช่ไหมนิโคลŽ ผมถาม ฟังจากสำเนียงพูดของคุณแล้วคุณต้องเคยไปบ่อยแน่ๆ เลยŽ

กฎข้อแรกในการทำงานบริษัท ให้เอาใจแผนกการเงินให้มากเข้าไว้

ค่ะ สามีของช้านเป็นโคนอางกริ๊ดŽ หล่อนบอก ยิ้มอย่างไม่ปลื้มเท่าไหร่นัก ตายหงส์! หมอนั่นคงตายไปแล้วหรือไม่ก็คงหย่าละซินั่น! ผมนึก แต่จะถามตอนนี้ก็ยังไงๆ อยู่

อย่าหลงกลนิโคลนะŽ ช็อง-มารีเตือนผม เธอทำท่าใจดีไปยังงั้นเอง แต่จริงๆ แล้วใจแข็งอย่าบอกใครเลย นี่แหละเพราะเธอแท้ๆ การเงินของบริษัทเราจึงได้ดีเยี่ยม จะว่าไปเธอก็คือนายใหญ่ของที่นี่นะŽ

นิโคลหน้าแดง ในบรรดาทีมงานที่นั่งอยู่ตรงนี้มีบางคนที่ไม่ได้เรื่องเอาเลยแหละ ผมนึกในใจ ช็อง-มารีชมเชยนิโคลเรื่องงานอีกหลายคำจนนิโคลคงอยากเปิดกระดุมเสื้อเปิดอกให้เขาชมเชยหน้าอกของหล่อนบ้างเสียแล้วจะได้หายเขิน เอ! นี่ผมพูดโผงผางไปหน่อยหรือเปล่านะ

เอาล่ะครับ สรุปแล้วภาษาอังกฤษของพวกคุณก็ดีกว่าภาษาฝรั่งเศสของผมมากเลยŽ ผมบอกพวกเขา มองอย่างจงใจสื่อสารกับสเต-ฟานีและแบร์นาร์ด์เป็นพิเศษ ด้วยว่าทั้งสองคนนั้นภาษาอังกฤษแย่พอๆ กับภาษาฝรั่งเศสของผมเลยแหละ ผมซื้อ ซีดีรอมบทการฝึกสนทนาภาษาฝรั่งเศสมาแล้ว ขอสัญญาครับว่าผมจะรีบฝึกโดยด่วน ตู๊ตสวิต* ทุกคนมารยาทดีพอจะหัวเราะขันตลกของผม

พอทำความรู้จักกันเรียบร้อยแล้วผมก็พูดขึ้นว่าผมมีไอเดียอย่างหนึ่งจะบอก

ผมคิดว่าเราน่าจะตั้งชื่อโครงการของเรานะ เป็นชื่อชั่วคราวน่ะครับ มันจะได้ทำให้พวกเรารู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหน่อย อย่างโครงการทีไทม์อะไรแบบนั้นŽ

อ๋อŽ แบร์นาร์ด์ผลุดลุกขึ้นนั่งตัวตรงทันที ไม่ต้องหรอกครับ ก็เรามีชื่อร้านกาแฟอยู่แล้วนี่ ร้านมาย ที อิส ริชไงล่ะŽ

ผมนิ่วหน้าแต่คนอื่นกลับหัวเราะ ผมหันไปทางช็อง-มารีอย่างจะขอความช่วยเหลือ แต่เขากลับไม่สบตาด้วย มองไปเสียทางอื่น

ร้านน้ำชามาย ที อิส ริช หรือครับ เป็นชื่อร้านน้ำชานี่นะ แต่มันไม่ได้สื่อความหมายอะไรสักนิด ฟังไม่รู้เรื่องด้วยŽ

อ๋อŽ แบร์นาร์ด์อาจพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง แต่ถ้าพูดเป็นคำๆ ละก็เขาพูดฟังรู้เรื่องทีเดียว มาย ที อิส ริช เป็นชื่อตลกๆ ไง แสดงอารมณ์ขันแบบอังกฤษแท้ๆŽ

อารมณ์ขันแบบอังกฤษเรอะ แต่พวกเราชาวอังกฤษไม่เคยพูดอะไรแบบนี้สักหน่อยŽ ผมแย้ง

อ้อŽ แบร์นาร์ด์หันไปทางเจ้านายเพื่อขอการสนับสนุน

ที่ถูกต้องควรเป็นคำว่าเทเลอร์ ... ช่างตัดเสื้อแทนคำว่า ที... ชาŽ
ช็อง-มารี อธิบาย

ช่างตัดเสื้อของคุณหรือครับŽ ผมยิ่งงงเข้าไปใหญ่ เหมือนกำลังดูหนังแนวเหนือจริง ซึ่งอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าซัลวาดอร์ดาลิก็จะบินผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง มีขนมปังบาแก็ตต์ ตุงออกมาจากหว่างขา

คำพังเพยมาย เทเลอร์ อิส ริช* ไงล่ะŽ ช็อง-มารี บอก

รวยหรือครับŽ ผมยังงง ซาลวาดอร์ ดาลิ บินเข้ามาแล้วล่ะ ผมนึก แต่ที่ผมไม่เห็นตรงช่องหน้าต่างก็คือหอไอเฟลเท่านั้นเอง

มาย เทเลอร์ อิส ริช* เป็นคำพังเพยอังกฤษนะŽ
(คำอธิบายจากผู้แปล *มีความหมายทำนองว่าถึงแม้จะเป็นช่างตัดเสื้อผู้ต่ำต้อย แต่ก็รวยได้เพราะค่าตัดเสื้อนั้นแพงมาก เทียบกับภาษาไทยคงคล้ายๆ ผ้าขี้ริ้วห่อทอง และมาย ที อีส ริช ก็คงพูดเล่นลิ้นให้แปลทำนองว่าผ้าขี้ริ้วห่อชา)
ไม่ใช่สักหน่อย ผมเถียง

แต่คนฝรั่งเศสเข้าใจว่ายังงั้น มันเขียนไว้ในหนังสือแบบเรียนภาษาอังกฤษของเรานะŽ

โอเค โอเค เข้าใจแล้วŽ ผมร้อง ทุกคนในห้องมองผมอย่างคาดหวังว่าถึงผมจะเข้าใจช้าไปบ้างแต่ในที่สุดผมก็จะต้องหัวร่อก๊ากออกมา

ผมเข้าใจแล้วครับŽ ผมประดิษฐ์ยิ้มเป็นเชิง ... ดีใจจัง คิดออกแล้ว!

ทุกคนผงกหัวหงึกหงัก ตกลงเป็นอันว่าความเข้าใจผิดได้รับการคลี่คลายแล้ว และปัญหาก็จบลงด้วยดี

แต่มันก็ยังเป็นชื่อร้านน้ำชาที่ฟังดูแย่อยู่นั่นเองŽ ผมติง ผมจำเป็นต้องแย้งเพื่อผลประโยชน์ของพวกเขาเอง ก็เพื่อผลประโยชน์ของโครงการเราน่ะแหละ

โอ!Ž

คุณจะเอาชื่อทีไทม์จริงๆ น่ะเหรอŽ ช็อง-มารี ทำท่าอาลัยอาวรณ์ มันพื้นๆ ไปหน่อยนะŽ

ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ไม่ใช่ นี่แค่ชื่อชั่วคราวเท่านั้นเอง ผมขอแนะนำว่ารอไว้จนสำรวจความต้องการของตลาดเสร็จเรียบร้อยเสียก่อน แล้วเราค่อยตั้งชื่อสินค้าคือชื่อร้านดีกว่า ระหว่างนี้เราเรียกชื่อชั่วคราวไปก่อน เป็นชื่อของงานน่ะครับ ถ้าคุณไม่ชอบชื่อทีไทม์ก็เอาชื่อที ฟอร์ ทู ไหมล่ะครับŽ

อุ๊ยไม่เอา!Ž สเตฟานีร้อง นี่มันก็พื้นๆ ไปอีกเหมือนกัน เราชอบชื่อขันๆ น่ารักๆ เหมือนอย่างที่แบร์นาร์ด์พูด คือเป็นอารมณ์ขันแบบคนอางกริ๊ดŽ

เอาฉือทีสกาเฟ่มั้ยขรับŽ มาร์คเสนอ ... ฉือที่เขาพูดนี่คือชื่อ

ทีสกาเฟ่เหรอŽ ผมฟังไม่รู้เรื่องอีกแล้ว

ครับ ที แล้วก็อะโพสโทรฟี่เอส กาเฟ่Ž มาร์คอธิบาย โดยมี
สเตฟานีพยักเพยิดสนับสนุนว่าดี ... ดี

ทีžส กาเฟ่ เหรอ ฟังไม่เป็นอังกฤษเลยนะŽ ผมท้วง

เป็นซิŽ สเตฟานีแย้ง พวกคุณมีชื่อเยอแย้ที่ใช้ อะโปสสตรอฟ อย่าง แอรี่žส บาร์* อย่างลิเบอร์ตี้žส สแต๊ฉู่Ž

บรู๊คลินžส บริดจ์Ž มาร์คพูดบ้าง

ทราฟัลการ์žส สแควร์Ž แบร์นาร์ด์เสริม

ไม่ช่าย ....Ž

โรลžส รอยซ์Ž แบร์นาร์ด์ไม่ยอมจบ

ไม่หรอกŽ คนพวกนี้ไปเอาเรื่องบ้าๆ แบบนี้มาจากไหนกันนะ

ในฝรั่งเศสอะไรแบบนี้ถือว่าเป็นอังกฤษมากเลยนะŽ ช็อง-มารี แทรกเข้ามาเป็นล่าม ที่ถนนช็องป์-เซลิเซ่ส์ยังมีร้านกาแฟแบบอเมริกันชื่อร้านแซนด์วิชžส กาเฟ่ เลยนะคุณŽ

ใช่Ž สเตฟานียืนยัน ใช้ปลายเล็บเคาะโต๊ะกุกๆ ประกอบคำพูด

โอเค แต่นั่นก็ไม่ใช่ภาษาอังกฤษนะŽ ผมยังยืนกราน เหมือนเวลาคุณเรียกที่ตั้งของแคมป์พักแรมว่า อังแคมปิ้งเง่อะŽ เรียกที่จอดรถว่า อัง ปาร์คกิ๊งเงอะŽ พวกคุณอาจจะคิดว่านั่นเป็นภาษาอังกฤษแต่มันไม่ใช่นะŽ

โอ๊ะ!Ž สเตฟานีหันไปหาช็อง-มารีอย่างจะขอให้เป็นผู้ตัดสิน ผมไปโจมตีภาษาฝรั่งเศสเข้าแล้ว สมควรจะได้ใบเหลืองนะนั่น

แต่ละประเทศก็รับเอาวัฒนธรรมของประเทศอื่นมาบ้างยังงี้แหละŽ ช็อง-มารีพูด ตอนผมอยู่อังกฤษ ทุกร้านอาหารจะต้องมีสตรอเบอรี่แครม บรูเล่ แต่แครม บรูเล่ก็คือแครมบรูเล่ จะมีสตรอเบอรี่เข้าไปได้ยังไง ถ้ายังงั้นทำไมไม่ทำสตรอเบอรี่บาร์แก็ตต์*เสียเลยล่ะ หรือไม่ก็สตรอเบอรี่
ก็อมมองแบร์ต์**Ž

ทีมฝรั่งเศสพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วยกับการตัดสินอย่างเข้มงวดแต่ยุติธรรมของผู้ตัดสิน ช็อง-มารี

ใช่ เหมือนอย่างพวกคุณคนอังกริ๊ดใส่นามโซ่มคั้น*** ลงไปใน
ชอมปาญ****น่ะแหละŽ สเตฟานีเสริม แมร์ด อลอร์ส์ ....บ้าชิบเป๋ง!Ž

แต่พวกคุณก็ใส่แบล็คคอแรนท์ ลิเคียวในแชมเปญด้วย เวลาจะทำเหล้าผสมเคียร์ รอยัล!*****Ž เรื่องนี้ผมอ่านเจอในหนังสือท่องเที่ยว แต่พอเถียงออกไปแล้วก็รู้สึกว่าไม่ควรเล้ย เพราะพวกฝรั่งเศสขมวดคิ้วใส่หมดทุกคน แบบว่าไม่ชอบใจเลยที่ผมย้อนอย่างหลักแหลมแบบว่าชั้นเป็นคนอังกฤษ ชั้นฉลาดนะเฟ้ย

ช็อง-มารีพยายามประนีประนอม

เราจะสำรวจตลาดแล้วก็ลองเลือกชื่อร้านที่เหมาะๆ กันต่อไปนะ แล้วก็จะทำเรื่องอื่นๆ ด้วย เราจะรวบรวมรายชื่อเอาไว้ว่าใครเสนอชื่อร้านว่าอะไรมั่งแล้วก็มาเลือกกันŽ

ครับŽ ผมรู้สึกตัวเองคล้ายหมาอัลเซเชี่ยนพลาสติกที่เขาตั้งไว้หลังรถ คือได้แต่ทำหัวด่อกแด่กไปเรื่อยๆ เพราะเริ่มรู้สึกว่าตัวเองได้แต่รับไอเดียเจ๋งๆ จากทางฝ่ายฝรั่งเศส ขณะที่ตัวเสนออะไรไปพวกเขาก็ไม่เอา

ให้แบร์นาร์ด์ดูเรื่องนี้ก็ได้Ž ช็อง-มารี แนะ

แบร์นาร์ด์ยิ้ม เขาเป็นคนกระตือรือร้นที่จะทำงาน ดูจากประกายตาโง่ๆ ที่แวววับขึ้นมาทันทีของเขา ผมก็เชื่อว่าเขาคงมั่นใจมาก ว่าถ้ามีไอเดียอะไรขึ้นมา เขาก็คงจะกล่อมใครต่อใครให้คล้อยตามได้โดยง่าย

โอเค! ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปในทางสร้างสรรค์มากŽ ช็อง-มารีชม เป็นการประชุมแบบธรรมชาติของผู้เจริญแท้ๆ ทีเดียว ประชุมกันแล้วก็ลงความเห็นกันได้ด้วยดีŽ

ลงความเห็นเรอะ เราตกลงอะไรกันไม่ได้เลยซักอย่างต่างหาก ซึ่งแบบนี้ก็มักจะลงเอยด้วยการจ้างที่ปรึกษามาออกความเห็นแล้วก็แอบติดสินบนต่างๆ นานาให้ไอ้บ้านั่นออกความเห็นว่าความเห็นที่ห่วยที่สุดนั่นละที่เจ๋งที่สุดละ แต่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้เข้าประชุมกับคนฝรั่งเศส ดังนั้นผมจึงมีอะไรให้เรียนรู้อีกแยะ

นอกบริษัทนั้น การเข้าสู่สังคมเมืองปารีสของผมก็น่าเซ็งพอๆ กัน

ช็อง-มารีออกเงินค่าเช่าโรงแรมให้ผมพัก โรงแรมนี้อยู่ห่างจากประตูชัยหรือ อาร์ค เดอ ตริออมฟ์ ไปทางทิศตะวันตกราว 1 กิโลเมตร และเป็นย่านที่ดูไม่เป็นปารีสแม้แต่น้อย มันอยู่แยกจากถนนใหญ่ซึ่งกว้าง 8 ช่องทาง ชื่อซะเพราะเชียวว่าอเวนิวกองทัพใหญ่ ถนนสายนี้พุ่งออกจากใจกลางเมืองตรงไปสู่ย่านธุรกิจสร้างใหม่ซึ่งมีตึกระฟ้าเต็มไปหมดชื่อย่านลา เดฟ็องซ์

ตัวโรงแรมเป็นอาคารสมัยใหม่ รูปทรงพรรณนาให้เห็นภาพยาก ก่อด้วยหินปลอมสีขาวหม่นๆ เหมือนหิมะที่ถูกหมาเยี่ยวรดไปเล็กน้อยแล้ว ห้องพักของผมก็ทาสีเดียวกันกับตัวโรงแรมด้านนอก มันควรจะเป็นเตียงคู่แต่แคบเสียจนกระทั่งถ้าคน 2 คนยืนอยู่ในห้องพร้อมๆ กันก็ไม่มีที่พอให้ยืน เว้นเสียแต่ยืนประชิดและติดพันทำอะไรกันง่วนอยู่ เรื่องนี้นับว่าเป็นไอเดียที่ดี เพียงแต่ไม่ได้เกิดเหตุการณ์แบบที่ว่านั้นบ่อยเท่าที่ควรในช่วงที่ผมพักอยู่

แต่อย่างไรก็ตาม ย่านที่โรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่ก็นับว่าเป็นชานเมืองระดับหรูและมีชื่อย่านว่าเนยญี ผมแอบเรียกเอาเองเพื่อความสะดวกปากเสมอๆ ว่าย่านนิวลี่ ย่านนี้ไม่ได้ฟู่ฟ่าอะไร ค่อนข้างเหงา มีถนนสายชอปปิ้งเพียง 2-3 สาย เต็มไปด้วยร้านเล็กร้านน้อยแบบที่หมดไปจากอังกฤษแล้ว อย่างร้านขายปลา ขายเนยแข็ง ช็อคโกแลต ร้านขายเนื้อสด ร้านขายเนื้อซึ่งปรุงเป็นอาหารแล้ว ร้านขายเนื้อม้า แล้วก็ร้านซึ่งขายแต่ไก่อย่างเดียวก็มี

ดังนั้นเมื่อแบตของเครื่องเล่นไฮไฟขนาดเล็กของผมชักจะอ่อนลงเต็มทีแล้ว ผมก็เลยคิดว่าลองไปดูที่ร้านขายเครื่องเสียงและเครื่องมืออิเลคโทรนิคแถวบ้าน แล้วซื้ออะแด็ปเตอร์มาเสียบใช้ไฟฟ้าเอาดีกว่า วันเสาร์หนึ่งผมจึงออกจากโรงแรมแล้วเดินหาร้าน ซึ่งในที่สุดก็ไปเจอร้านๆ หนึ่งซึ่งหน้าร้านเต็มไปด้วยวิทยุ ไฟฉาย และอุปกรณ์อิเลคโทรนิค
ข้างในร้านมีเคาน์เตอร์ตู้กระจกยาวและชั้นซึ่งเต็มไปด้วยอะไรๆ จิปาถะ ตั้งแต่แบตเตอรี่ เครื่องดูดฝุ่นไปจนถึงเครื่องปั่นอาหาร ท่ามกลางข้าวของนานานั้นมีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ เขาคาดผ้ากันเปื้อนพลาสติคสีเทาและใบหน้าก็เป็นสีเทาคล้ายกัน แบบว่าเป็นญาติของครอบครัวอัดดัมส์ แฟมิลี่ ที่บังเอิญตั้งรกรากอยู่ปารีสอะไรแบบนั้น

บองชูร์Ž ผมยิ้มแย้มทักทายแบบประจบเอาใจเอาไว้ก่อน นำหน้าภาษาฝรั่งเศสแย่ ๆ ที่กำลังจะตามมา

คนขายไม่ยิ้มตอบ เขาแค่มองนิ่งๆ ออกมาจากภายใต้พุ่มเส้นคิ้วที่แข็งและชี้โด่เด่ มองอย่างพิจารณาและคงจะได้ผลลัพธ์ออกมาไม่เป็นที่พอใจเลย

ก่อนอื่นผมควรเล่าเพิ่มเติมเสียก่อนว่าวันนั้นน่ะผมไม่ได้สวมสูทพอล สมิธตัวเก่ง ผมสวมเชิร์ตลายดอกไม้สีส้มแปร๊ดที่ซื้อมาจากตลาดนัดปอร์โตเบลโล่ที่ลอนดอนโน่น มันดูจัดจ้าแบบฮาวายๆ ซึ่งผมคิดว่าจะทำให้ดูหนุ่มดีและน่าคบหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสวมกับกางเกงขาสั้นแบบยาวที่นักโต้คลื่นนิยมกัน แถมยังสวมรองเท้าผ้าใบสีแดงเพลิงอีกต่างหากขอบอก ผมอดสังเกตไม่ได้ว่าคนย่านเนยญีเขาไม่ได้แต่งตัวกันแบบผม แต่ฤดูใบไม้ร่วงวันนั้นอากาศก็อุ่นสบายดี น่าแต่งตัวโฉบเฉี่ยว ผมไม่เคยนึกว่ากะอีแค่เสื้อผ้ามันจะมีผลอะไรกับการซื้ออุปกรณ์อิเลคโทรนิคส์ด้วย

เชอ ... ผมŽ ผมเริ่มประโยค แต่แล้วนึกขึ้นได้ว่าผมไม่รู้หรอกนะว่าไฮไฟนั้นภาษาฝรั่งเศสว่ายังไง ยังจะปลั๊กสามตา ปลั๊กธรรมดาแล้วก็อะแด็ปเตอร์อีกเล่า ขนาดคำว่าไฟฟ้าผมก็ยังมิรู้ ในอังกฤษนั้นถ้าจะซื้ออะไรคุณก็แค่เข้าซูเปอร์สโตร์แล้วก็หยิบเอาเอง ไม่ยังงั้นก็ชี้ๆ เอาให้คนขายหยิบให้

เช อัง ไฮไฟŽ ผมเริ่ม ทำเสียงไฮไฟให้เป็นแบบฝรั่งเศสหน่อยๆ ว่า อาฟา คนขายไม่ได้ทำหน้างง ซึ่งทำให้ผมมีกำลังใจขึ้นบ้าง แต่ก็นั่นแหละนะ เขาก็ไม่ได้ทำหน้าไยดีแม้แต่น้อยด้วยเช่นเดียวกัน ผมพูดแบบดำน้ำมั่วๆ ต่อไปว่า เช อัง อาฟา อ็องเกลส์ ..... ผมมีไฮไฟอังกฤษŽ ยิ้มแบบขอโทษขอโพยคั่นไว้แบบว่าขอโทษนะครับ ผมจะพยายามอธิบายอย่างเต็มที่ กรุณาอดทนฟังสักนิดเถอะครับ เช อัง อาฟา อ็องเกลส์ เมส์ อิซิ.... ผมมีไฮไฟอังกกฤษแต่ว่ามัน ....Ž ผมพยายามทำท่าสิ้นหวังซึ่งยากมากที่จะแสดงให้อีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจ แต่พนักงานร้านก็ยังมองเฉยอย่างไม่สนใจจะช่วยเหลือ

ช่างแม่งเฮอะ ผมตัดสินใจ แล้วก็พูดภาษาอังกฤษพรืดออกมา ผมอยากได้อะแด็ปเตอร์ จะเอาไปเสียบเครื่องไฮไฟที่เอามาจากอังกฤษ จะได้ใช้ไฟฟ้าของที่นี่ได้Ž ผมอธิบายไปก็ทำมือทำไม้ประกอบไปด้วย

ปกติผมเคยนึกว่าคนฝรั่งเศสนั้นชอบพูดออกท่าทาง แต่อีตาคนนี้ไม่ยักกะใช่แฟนของมาร์เซล มาร์โซ

ปาร์เลซ์ ฟร็องเซส์ ... พูดฝรั่งเศสซิŽ เขาบอกผม ทำเสียงเฮอะตบท้ายอันเป็นประเพณีปฏิบัติของคนย่านเนยญีซึ่งแสดงความหมายโดยนัยว่า ไอ้โง่อังกฤษห่วยแตกเอ๊ย

ถ้าข้าพูดได้ข้าก็คงพูดแล้วละเว้ยไอ้เฮงซวยŽ ผมด่าออกไป รู้สึกสบายขึ้นเยอะเลยที่ได้ด่าแรงแล้วเขาก็ไม่เข้าใจแบบนั้น

คนขายยักไหล่เหมือนกับจะพูดว่า

ไม่ว่าเอ็งจะมีปัญหาอะไรมันก็ปัญหาของเอ็งละวะ ไม่ใช่ปัญหาของข้าซักกะหน่อย ก็น่าสงสารอยู่หรอก แต่ว่ามันตลก เพราะดูจากสารรูปของเอ็งแล้วมันก็ไอ้งั่งที่ชอบทำอะไรโง่ๆ จนลำบากเดือดร้อนอยู่เรื่อย แล้วก็ให้ตายเถอะ ไอ้เสื้อของเอ็งนี่มันก็เหลือทนจริงๆŽ

เนี่ย แค่ยกไหล่จิ๊กเดียวแปลได้ตั้งมากตั้งมายถึงเพียงนี้

ในเมื่อไม่มีทางที่ผมจะชนะการแข่งขันยกไหล่ หรือจะได้อะแด็ป
เตอร์ตามความต้องการ ผมก็เลยเดินออกจากร้านมา

ผมผละจากร้านมาได้ยังไม่ทันถึงหลา ผมก็ตัวแข็ง ขายกค้างในท่ามวยไท้เก๊ก เข่างอและขาข้างหนึ่งยกค้าง

ก็ขี้หมาสีเหลืองอ๋อยน่ะซิ ติดอยู่ที่ส้นรองเท้าผ้าใบสีแดงคู่สวยของผม

ชิต!Ž ผมอุทานคำด่าภาษาอังกฤษซึ่งเผอิญแปลว่าขี้

และแล้วผมก็ได้ยินเสียงคนขายอุปกรณ์ไฟฟ้าร้องตะโกนแว่วมาในจินตนาการ

เขาต้องว่า แมร์ด*โว้ยไอ้คนต่างชาติ!Ž

ปารีสนั้นมีอะไรเหมือนทะเลอยู่หน่อยๆ ผมเริ่มสังเกต เพราะถ้าคุณเป็นปลาฉลามละก็ ทะเลจะเป็นที่อยู่อาศัยชั้นดีทีเดียว มีอาหารทะเลให้กินเยอะแยะ และถ้าใครทำแน่กับคุณ คุณก็กัดมันขาด 2 ท่อนได้ง่ายๆ ถูกล่ะที่ว่าคุณอาจไม่ได้ชอบขี้หน้าคนทุกคน เอ๊ย ปลาทุกตัว แต่คุณอยู่ของคุณสบายๆ ในทะเลโดยไม่ต้องยุ่งกับใครก็ได้

ถ้าคุณเป็นคน คุณอาจจะลอยคอเล่นในน้ำทะเลได้ก็จริง แต่ก็อาจถูกฉลามงาบเอาไปเสียเมื่อไหร่ก็ได้อีกเหมือนกัน

ดังนั้นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดที่ควรจะทำคือรีบแปลงร่างเป็นฉลามเสียโดยเร็วนั่นแหละเหมาะที่สุด

และวิวัฒนาการขั้นแรกของการเป็นฉลามก็คือต้องพูดภาษาฉลามให้ได้เสียโดยเร็ว

ผมมีซีดีบทสนทนาภาษาฝรั่งเศสให้ฝึกพูดเรียบร้อยแล้ว แล้วก็
คิดว่าคริสตีนผู้ช่วยคนสวยของช็อง-มารีก็คงจะเต็มใจช่วยติวเข้มให้บ้างในบางครา ธ่อ! เป็นฉลามทั้งทีก็ควรมีครีบสวยๆ หน่อยเซ่! คริสตีนเหรอ คิดผิดอะไรปานนั้น

ผมไม่ใช่ผู้ชายประเภทที่คิดว่าความรักคือการทำแต้มให้ได้มากๆ เหมือนแต้มเทนนิสหรอกนะ แล้วก็เรื่องรักๆ ใคร่ๆ นี่ผมก็ไม่ได้ประสบผลสำเร็จบ่อยนักด้วย นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมแจ้นออกมาจากอังกฤษทันทีที่ได้รับข้อเสนอดี ผมมีแฟนอยู่ที่ลอนดอนคนหนึ่งชื่อรูธ แต่ความสัมพันธ์ของเรามีแต่จะทำให้เราต่างคนต่างแย่ลง เราโทรถึงกัน นัดแนะว่าจะพบกันที่ไหนเมื่อไหร่ แล้วต่างคนต่างก็รอว่าฝ่ายไหนจะมีข้อแก้ตัวดีๆ มายกเลิกนัดได้ก่อนกัน แต่ถ้าไม่ได้ยกเลิกนัดและได้มาพบกันเราก็ทำอยู่ 2 อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือทะเลาะกันบ้านแตกหรือไม่ก็มี
เซ็กซ์กันอย่างรุนแรงแบบถล่มโลก หลังจากนั้นก็จากกันไป ไม่เจอะเจอกันอีกราว 2 สัปดาห์ก่อนจะโทรนัดกันใหม่อีกครั้ง วนเวียนอยู่อย่างนี้เอง สรุปก็คือเราต่างมีความเห็นตรงกันว่า การที่ผมตกลงใจย้ายประเทศในคราวนี้ บางทีอาจจะเป็นการยืนยันให้แน่ใจก็ได้ว่าเราต่างไม่เหมาะกันหรอกนะ

ตอนที่ผมก้าวออกจากลิฟต์มุ่งหน้าไปหาคริสตีนนั้น ผมไม่ได้ทำไอ้อะไรที่รุนแรงแบบถล่มโลกนั่นมาราว 2 สัปดาห์แล้วเห็นจะได้ แต่ถึงแม้ผมจะไม่ถูกกดดันจากการสูบฉีดของฮอร์โมน ผมก็ยังยอมรับอยู่นั่นเองว่าคริสตีนน่ะสวยบาดใจ ผมของหล่อนยาวสยายไม่เป็นรูปไม่เป็นทรงอะไร ซึ่งเป็นทรงผมของผู้หญิงฝรั่งเศสทั่วๆ ไปนั่นแหละ ผมทรงนี้ทำให้หล่อนต้องเสยบ่อยๆ ไม่ให้ตกระหน้าผาก ท่าทางที่เสยผมนั้นก็เซ็กซี่อย่าบอกใคร คริสตีนผอมมาก ซึ่งผู้หญิงฝรั่งเศสทั่วไปก็รูปร่างแบบนี้ แต่รูปร่างที่ผอมก็ไม่ได้ทำให้ขาดส่วนโค้งส่วนเว้าเย้ายวน คริสตีนตาสวยมาก เป็นสีน้ำตาลอ่อนเกือบจะเป็นสีทอง และสายตาที่มองมายังผมนั้นก็ไม่ได้บอกความเวทนา เหมือนผมเป็นแค่ไอ้ค่อมกวาสิโมโดแห่งเรื่องชายค่อมแห่งนอตเตรอดามแต่อย่างใด ผมเดินเข้าไปในห้องทำงานของหล่อนทีไร คริสตีนก็จะกระพือขนตาดกหนาต้อนรับ ทำให้ผมรู้สึกมีกำลังใจที่จะทำงานก่อร่างสร้างร้านน้ำชามากขึ้น แทนที่จะทำไปแค่วันๆ พอเสร็จ

ภาษาฝรั่งเศสแบบอะร้าอร่ามที่ผมพูดทำให้คริสตีนหัวเราะและการทำให้หล่อนหัวเราะได้แม้จะทำให้ตัวเองดูแย่ผมก็มีความสุข

ตู เอส์ โปรเฟสเซอร์ ปูร์ มัว ..... คุณเป็นครูสำหรับผมŽ สัปดาห์แรกที่ไปทำงานผมก็พูดผิดๆ ถูกๆ กับหล่อน

คริสตีนหัวเราะ และผมก็ทำเป็นงอน

น็อง, เชอ เวอ ปาร์เล่ร์ ฟรองเซส์ .. ไม่นะ ... ผมอยากพูดฝรั่งเศส ผมพยายามบอกอีก

และหล่อนก็หัวเราะอีก คราวนี้ตอบอะไรมาบางคำที่ผมไม่เข้าใจ

ตู อัปปรองเดรอ อองเกลส์ อาแวค มัว? .... คุณเรียนภาษาอังกฤษกับผมมั้ย ผมแนะ นูส์ .... เรา ....เอ้อ ...

ผมพยายามทำมือทำไม้ซึ่งทำได้ไม่ดีนักจึงดูคล้ายผมจะชวนหล่อนไปทำอะไรสักอย่างเชิงนรีเวชศาสตร์

แต่การทำมือทำไม้ประกอบคำพูดของผมก็ไม่ได้ทำให้คริสตีนโกรธเลิกพูดด้วยไปเลย เราได้ออกไปดื่มหลังเลิกงานกันครั้งหนึ่งที่คอกเทล
บาร์ใต้ดินซึ่งดูหรูหราและราคาแพงตรงถนนซอยแถวๆ ช็องป์-เซลิเซส์ เป็นคอกเทลบาร์ซึ่งพวกลูกค้าจะนั่งวางมาดบนเก้าอี้นวมออกแบบโดยฟิลิปป์ สตาร์ค เพื่ออวดโก้

ผมชโงกตัวเข้าไปหาคริสตีน แล้วเราก็คุยกันเรื่องชีวิตในลอนดอนและปารีสโดยใช้ภาษาอังกฤษปนฝรั่งเศส ผมคุยจ้อเหมือนนกพิราบคู

เรากำลังคุยกันสนุกและทวีความสนิทสนมกันถึงขั้นนิ้วกระทบถูกกันนิดๆ หน่อยๆ แล้ว เมื่อจู่ๆ คริสตีนก็เป็นซินเดอเรลลาขึ้นมาดื้อๆ

ม็อง แทร็ง ... รถไฟของฉันค่ะŽ หล่อนบอก

น็อง ... น็อง เลอ เมโทร แอส์ต์ แทรส์ บรื้น ... บรื้น ...Ž ผมขัด พยายามบอกว่าจะรีบไปไหนล่ะ รถเมโทรนะแล่นเร็วออกจะตายไป ยังไงก็จะนำหล่อนไปถึงบ้านก่อนหล่อนกลายเป็นฟักทองแน่ๆ

คริสตีนส่ายหน้า เอาแผนที่รถใต้ดินพับได้มากางให้ผมดู ชี้บอกว่าหล่อนอยู่นอกเมืองไปตั้งไกล

เวียงส์ เชซ์ มัว ... ไปค้างบ้านผมก็ได้Ž ผมชวนอย่างใจป้ำ เป็นประโยคที่ผมก๊อปมาจากซีดีรอมฝึกพูดฝรั่งเศส เวียงส์ เชซ์ มัว เอ้อเฮอ ฟังยังกะเสียงจูบ

หล่อนทำเสียงจุ๊ดุผม ชะโงกเข้ามาจุ๊บผมนิดนึงที่ริมฝีปาก ลูบคางผมด้วยปลายนิ้ว แล้วก็ผละจากไป ทิ้งให้ผมแข็งขึงที่อยู่ที่โต๊ะเดียวดาย

ผมไม่เห็นเข้าใจเลย ผู้หญิงอังกฤษส่วนมากที่ผมชวนไปดื่มหลังเลิกงานนั้นจะทำอย่างใดอย่างหนึ่งใน 2 อย่างเท่านั้น คือบอกออกมาโผงผางเลยว่าผมไม่เซ็กซี่พอ หรือไม่อย่างนั้นก็ติดหนึบหนับเหมือนถูกเป่ามนตร์ไปแล้ว เอ! หรือว่าผมเดทสาวที่ตายด้านเข้าแล้ว








เช้าวันรุ่งขึ้นผมเลยยกกาแฟไปฝากคริสตีนถึงห้องทำงาน

เซอ ซัวร์, ตู เวอซ์..... เย็นนี้คุณอยากจะ ....Ž ผมปล่อยให้หล่อนเติมคำในช่องว่างเอาเอง จะเติมธรรมดาๆ แบบมีคลาสหน่อยหรือจะเติมแบบถึงลูกถึงคนก็ตามใจ

บัวร์ อัง แวร์? ...ดื่มสักแก้วยังงั้นใช่ไหมคะŽ หล่อนถาม เติมคำในช่องว่างเป็นแค่คำชวนขั้นพื้นฐาน โอเค ยังไงก็ได้เริ่มต้นละวะ ผมนึก

อ็อง เซอ เรอทรูฟ โอ บาร์ อา ดิซ-เนิฟ เวอร์ ? ... เราจะพบกันที่บาร์ตอนทุ่มนึงใช่ไหมคะ หล่อนพูดต่อ

พบกันที่บาร์เลย จะได้ไม่มีใครเห็น ดี ผมนึก เมื่อวานตอนที่เราออกจากบริษัทไปด้วยกัน ผู้คนตรงช่องทางเดินเลิกคิ้วกันใหญ่




เมื่อพบกันที่บาร์ตอนทุ่มนึงวันนั้นคริสตีนไม่ได้อยากคุยเป็นภาษาอังกฤษสักเท่าไหร่ หล่อนถามผมเป็นภาษาฝรั่งเศสว่าผมแต่งงานหรือยังและมีลูกอยู่ที่ลอนดอนหรือเปล่า

เมส์ น็อง ... โอ๊ย! ไม่มี!Ž ผมร้อง

ปูกัว ปาส์ ... ทำไมถึงไม่มีล่ะคะŽ

เจ๊งŽ ผมทำท่าอธิบาย ภาษาฝรั่งเศสของผมไม่ดีพอที่จะอธิบายอะไรยาวๆ อย่างความสัมพันธ์ระหว่างรูธกับผมที่พังครืนไปเสียแล้ว

คริสตีนกระพือขนตาดกหนา และแล้วซินเดอเรลลาก็จากไป 2 ทุ่มเป๊ะตามเวลา

ผมชักจะไม่เข้าใจผู้หญิงฝรั่งเศสเสียแล้ว พวกหล่อนชอบให้มีการแปลกใจก่อนมีเซ็กซ์ หรือชอบมีเซ็กซ์แบบขรึมๆ แบบเลิศล้ำในต่ำใต้ หรือว่าชอบให้ปล้ำกันแน่ละเนี่ย (แต่ผมว่าไม่หรอกนะ ผมยังไม่เห็นผู้หญิงชาติไหนชอบให้ผู้ชายปล้ำเลยสักคน)

หรือว่าผู้หญิงฝรั่งเศสเขาเป็นกันยังงี้ คือชอบเปรียบเทียบว่าฝรั่งเศสเป็นยังไงอังกฤษเป็นยังไง คริสตีนน่ะมาทำท่าเย้ายวนใจให้ผม
หัวปั่นเล่น แต่เอาเข้าจริงก็ถอยห่างเพราะกลัวติดเชื้อโรควัวบ้าจากคนอังกฤษ


ผมลองเปิดดูในรายงานที่ได้รับมาเพื่อจะหาว่าคนฝรั่งเศสนั้นเขาเห็นพวกเราชาวอังกฤษเป็นยังไงมั่ง


ถึงแม้จะไม่ได้คำตอบเป๊ะๆ ออกมาว่าทำไมคริสตีนถึงไม่ยอมนอนกับผม แต่การอ่านรายงานก็ให้ข้อคิดดีๆ หลายอย่างเหมือนกัน เรื่องแรกก็คือสิ่งที่คนฝรั่งเศสรู้เกี่ยวกับอังกฤษนอกเหนือจากเรื่องโรควัวบ้าและการเป็นอันธพาลของเราตอนเชียร์ฟุตบอลแล้ว ก็คือเช็คสเปียร์ ควีนเอลิซาเบธ เดวิด เบ็คแคม มิสเตอร์บีน แล้วก็เดอะ โรลลิ่ง สโตนส์ (ทุกชื่อนี้เป็นข้อมูลเชิงบวกทั้งนั้นเลย น่าอัศจรรย์อยู่เหมือนกัน) อ้อ! แล้วก็มีคำว่าชาด้วย พวกฝรั่งเศสมีความเห็นว่าเป็นเครื่องดื่มที่หรูมากทีเดียว

คนฝรั่งเศสนั้นเป็นพวกชอบอะไรหรูๆ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เคยไปตามร้านกาแฟถูกๆ แถวชายหาดของอังกฤษซึ่งเด็กเสิร์ฟเป็นเด็กนักเรียนอายุ 15-16 มาฝึกงาน พวกนี้จะแกล้งลูกค้าโดยเอาฉี่ม้ามาคนๆ ใส่กาแฟแทนครีม (ผมนี่แหละเคยแกล้งเค้ามาแล้วถึงได้รู้ดี) ร้านกาแฟในฝรั่งเศสนั้นน้ำชาถ้วยหนึ่งราคาเป็น 2 เท่าของเอสเพรสโซ่เลยนะนั่น

ให้ตายเถอะ! ผมนึก ทำไมถึงได้ไม่มีคนคิดทำร้านน้ำชาแบบอังกฤษในฝรั่งเศสก่อนหน้านี้นะ แล้วทำไมผมถึงได้ไม่มีทีมงานที่เข้าท่ามากกว่านี้หนอ

ลูกน้องในทีมของผมควรจะต้องอ่านทัศนคติของคนฝรั่งเศสที่มีต่อคนอังกฤษที่ผมยกเอามาเล่านี้ และต้องอ่านส่วนอื่นๆ ในรายงานให้หมดด้วย แต่พอผมถามพวกเขาทีไรว่าอ่านรายงานแล้วมีความเห็นว่ายังไงมั่ง รู้สึกยังไงหือ พวกเขาก็จะตอบแค่ น้าโสนจายม้าก .. ก ...Ž เท่านั้นเอง เชื่อเหอะว่าพวกเขาไม่ได้อ่านร้อก เท่าที่ผมดูนั้นลูกทีมของผมไม่ได้สนใจไยดีโครงการนี้เลย นี่เพิ่งจะย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้นเองแต่พวกเขาก็เป็นไม้ผลัดใบยืนต้นโกร๋นไปแล้ว

ผมเห็นท่าจะต้องไปพูดกับช็อง-มารีขอให้ย้ายสเตฟานี แบร์นาร์ด์ และมาร์คไปทำโครงการอื่นที่พวกเขาสนใจเสียแล้ว ไปอยู่ห่างๆ ร้านน้ำชาแบบอังกฤษของผมเสียเถอะ

พวกเขาจะต้องเกลียดขี้หน้าผมแน่ๆ แต่ผมก็ไม่มีทางเลือก

ผมบอกช็อง-มารีว่าผมมีเรื่องจะต้องปรึกษา เขาบอกว่าถ้ายังงั้นเราไปพูดกันระหว่างอาหารกลางวันเที่ยงนี้เลยเถอะ วันนี้เป็นวันสำคัญจึงควรไปกินอาหารกลางวันกัน

ช็อง-มารีไม่ได้พูดเกินจริงเลย

เราออกจากสำนักงานตอน 12.30 น. โดยมีเสียงผู้คนร้องบอก 
บ็อง นับเปตีต์ ... ขอให้ทานอาหารให้อร่อยๆŽ ระเบ็งเซ็งแซ่ อวยชัยให้พรกันเสียราวกับอวยพรคริสตมาส อาหารกลางวันทุกมื้อคือการเฉลิมฉลอง หรือไม่จริงล่ะ

บนถนนเต็มไปด้วยคนทำงานออฟฟิศท่าทางเฉลียวฉลาด แถวนี้ใกล้ช็องป์-เซลิเซส์ ดังนั้นจึงมีสาวๆ ใช้สินค้าต่างๆ ของชาแนลและ
ดิออร์เต็มไปหมด แว่นกันแดด กระเป๋าถือ กระโปรง แต่ก็มักจะเป็นผู้หญิงวัยกลางคนหน่อยซึ่งมีเงินพอจะซื้อได้ นอกจากนั้นก็มีพวกเลขาสาวๆ ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว สวมยีนของดีไซน์เนอร์ดังๆ พวกนี้ปล่อยผมยาวสยายเหมือนคริสตีน เสื้อเกาะอกนั้นทำให้พวกหนุ่มๆ ใส่สูทมองตาเป็นมัน รวมทั้งช็อง-มารีซึ่งกวาดตาขึ้นๆ ลงๆ ระหว่างอกกับสะโพกของสาวๆ ตลอดทางที่เราเดินไป

ผู้หญิงมาดหรูในสูทผ้าขนสัตว์อย่างหนาของดีไซเนอร์ชื่อดัง 2 คน เดินผ่านเราไป ปารีสมีผู้หญิงท่าทางแข็งแรงเทอะทะแบบม้าๆ อย่างนี้เหมือนกัน ไม่รู้ว่าพวกหล่อนเก็บม้าเอาไว้ที่ไหน อาจจะเลี้ยงในห้องใต้ดินก็ได้

วันนี้เป็นวันสำคัญยังไงหรือครับŽ ผมอดถามช็อง-มารี ไม่ได้

เดี๋ยวก็รู้Ž เขาตอบ ยิ้มกว้างให้หน้าท้องของสาวที่สวนไป

ที่มุมถนนมีบราซเซอรี* แบบปารีสแท้ๆ อยู่ร้านหนึ่ง มีโต๊ะหินอ่อนกลมตั้งอยู่ที่ทางเท้า 6 ตัวล้อมรอบด้วยเก้าอี้สาน ตรงนั้นเป็นเฉลียงกระจกยื่นออกมาจากตัวอาคาร

ช็อง-มารีคว้าเก้าอี้ตรงโต๊ะตัวสุดท้ายที่ยังว่างอยู่ไว้ได้อย่างเฉียดฉิว ไม่สนใจต่อเสียงด่าอย่างอารมณ์เสียของผู้ชายซึ่งกำลังตั้งท่าจะนั่ง

เราโชคดีŽ เขาบอก ที่ปารีสนี่วันไหนอากาศดีละก็ โต๊ะที่ทางเท้าจะเต็มหมด ตามร้านกาแฟชั้นดีน่ะนะŽ

เมนูหุ้มด้วยพลาสติค 2 เล่มมาถึงโต๊ะ คนเสิร์ฟเป็นชายผมสีเทาท่าทางหงุดหงิดชวนทะเลาะ เขาสวมเครื่องแบบพนักงานเสิร์ฟคือเสื้อขาวกางเกงดำและแจ๊คเก็ตเอวลอยสีดำ กระเป๋าหลายกระเป๋าตุงไปด้วยเศษเหรียญ เขาหยุดที่โต๊ะเรานิดหนึ่ง นานแค่พึมพำบอกอะไรบางอย่างที่ผมฟังไม่ออก รู้แต่เพียงว่าเป็นอาหารพิเศษประจำวันนี้เท่านั้น เขาใช้ปลายนิ้วทิ่มพรวดลงที่กระดาษกาวสีฟ้าที่สอดอยู่ตรงปกเมนูประกอบคำพูดด้วย จากนั้นก็ถลันถลาไปหาลูกค้าอีกโต๊ะหนึ่ง ไม่ว่าอาหารพิเศษประจำวันอะไรก็ตาม ผมก็อ่านลายมือขยุกขยิกที่เขียนไม่ออก เห็นมีแต่เขียนว่า เครแต็ง โดแฟ็งŽ ... มันเกี่ยวอะไรด้วยกับปลาโลมาที่ต่อมไทรอยด์บกพร่องก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมแปลแล้วก็นึกในใจ เราจะหารือกันเรื่องอะไรเรอะŽ ช็อง-มารีถามขึ้น เขาเหลือบดูเมนูแค่ผ่านๆ แล้ววางลงข้างๆ

เอ้อ .......Ž ผมพยายามอ่านเมนูแล้วก็รวบรวมความคิดไปด้วยพร้อมๆ กัน

ทันใดนั้นบริกรก็ปรากฏกายขึ้นอีกครั้งแล้วก้มลงมองเรา ช็อง-มารียิ้มให้ผมอย่างให้เกียรติเป็นคนสั่งก่อน

เอ้อ ........Ž ผมเอ้อซ้ำ

บริกรพ่นเสียงออกจากลำคออย่างฉุนเฉียวแล้วสะบัดหน้าพรืดไป เขาเกลียดผมไปเรียบร้อยแล้วนะนั่น แค่พูดเอ้อเขาก็จับได้ว่าผมเป็นคนอังกฤษแล้วเหรอ

รายงานเล่มนั้นน่ะ ...................Ž ช็อง-มารีชงักแล้วนิ่วหน้า เขาเรียกว่าอะไรนะ ดีดู ........

เอ้อ

เรานั่งรอบริกรอยู่ตรงนี้มาอึดใจใหญ่แล้วนะ

ดีดูมากเรอะ เขาถาม
ดูดีมากครับ ผมบอก แก้คำพูดให้ด้วย

รายงานการสำรวจความต้องการของลูกค้าของมาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์น่ะดีมากเลยนะ ดูดีทีเดียว พวกนี้โง่จริงๆ ที่ปิดสาขาในฝรั่งเศสเสียแบบนั้น คนฝรั่งเศสน่ะชอบสินค้าอังกฤษออกจะตายไป

เอ้อ คุณอยากทานอะไรครับ

แซฟเวร่อร์ โชด์ ........ แพะร้อน! เขาบอก

แซฟเวร่อร์ ?

ตัวเมียไง ก็เหมือนแกะนั่นแหละแต่มีอะไรนะบนหัว คอร์น ... ข้าวโพดหรือ ช็อง-มารีถาม

ตัวที่มีข้าวโพดอยู่บนหัวหรือครับŽ ผมงง

เขาเรียกฮอร์นใช่มั้ย เขานึกออก

อ๋อ แพะนั่นเอง ผมนึกออกบ้าง

ใช่ แพะ

กินแพะร้อนเนี่ยนะ

บริกรโฉบวูบเข้ามาอีกครั้ง

แซฟเวร่อร์ โชด์ ผมสั่ง ถ้ากินแล้วเกิดเขางอกขึ้นมาผมก็จะปลิดส่งให้ช็อง-มารี

2 ที่ ช็อง-มารีเสริม

เอต์ ก็อมม์ บวสช็อง?* .... แล้วเครื่องดื่มล่ะครับŽ บริกรถาม

(ปลาเรอะ ผมนึกในใจ เค้าต้องกินปลาคู่กับแพะด้วยหรือนี่) นี่แหละคือเหตุผลที่ชอบกินอาหารกลางวันในร้านแบบคาเฟ่ทีเรียซึ่งเป็น
บุฟเฟ่ต์ จะกินอะไรก็หยิบๆ เอา

อุน เลฟฟ์ ..... เลฟฟ์ขวดนึงŽ เจ้านายผมสั่ง เลฟฟ์คือยี่ห้อเบียร์Ž เขาอธิบาย

นึกออกแล้ว ปลาน่ะเขาว่าปวสซ็อง ส่วนบวสซ็องนั้นคือเครื่องดื่ม

โอเค เดอซ์ ....สองเลยŽ ผมเสริม

บริกรคว้าเมนูแล้วผละจากไปโดยไม่ได้จด คนปารีสได้หยุดพักกินอาหารกลางวันถึง 2 ชั่วโมง แต่ถ้ากินนิดเดียวแบบนี้ก็แปลว่าจะมีเวลาเหลือให้ทำอะไรๆ อื่นอีกตั้ง 1 ชั่วโมงกับอีก 59 นาที หลังการสั่งอาหาร ใครนะเป็นคนว่าๆ คนอเมริกันเป็นต้นคิดฟาสต์ฟู้ด

เราจะหารือเรื่องอะไรกันเรอะŽ ช็อง-มารีถาม

เรื่องทีมงานที่คุณจัดหาให้น่ะครับŽ ผมเริ่ม แล้วก็จนต่อถ้อยคำเพียงแค่นั้น ทีมนี้ของผมน่ะŽ .... ผมไม่อยากได้พวกเขาเลยครับ ผมอยากจะบอกอย่างนี้แต่นุ่มนวล ซึ่งจนบัดนี้ก็ยังนึกหาถ้อยคำไม่ได้

ผมไม่ต้องการเขาหรอกนะครับŽ ผมพูดออกไป ซึ่งไม่ได้ฟังดูแย่เท่ากับ ผมไม่อยากได้พวกเขาž ใช่ไหมนั่น

ช็อง-มารีหัวเราะเสียงเครียดๆ แล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้

บริกรเดินกลับมาวางมีดและส้อมซึ่งห่อด้วยกระดาษเช็ดปากสีเหลือง มีดนั้นเป็นฟันเลื่อยและปลายแหลมเปี๊ยบ ผมได้แต่หวังว่าเจ้านายคงไม่โกรธจนถึงกับกระชากมันออกมากระซวกคอผมหรอกนะ

คุณไม่อยากได้พวกเขาเรอะŽ เขาถาม

ยังไม่อยากได้ครับŽ ตอนนี้ผมอยากได้คนมาทำรีเสิร์ชหาสถานที่ๆ เหมาะๆ สำหรับเปิดร้าน ต้องการคนมาสำรวจความต้องการของผู้บริโภคตามตัวอย่างรายงานที่ผมส่งให้อ่านและหวังใจว่าพวกเขาคงจะกำลังอ่านอยู่ ว่าลูกค้านั้นเขาต้องการกินอะไรและในมื้อไหน ผมอยากได้คนมาช่วยคิดชื่อและคิดโลโก้ร้าน ซึ่งสิ่งที่ผมต้องการเหล่านี้แบร์นาร์ด์ สเตฟานี แล้วก็คนอื่นๆ ทำให้ผมไม่ได้เลย

ช็อง-มารีนิ่งตรอง แต่เขาก็ไม่ได้เอื้อมมาหยิบมีด .... ยังไม่ได้หยิบมีด

เขาถอนใจยาว

บริษัทฝรั่งเศสไม่ได้บริหารเหมือนบริษัทอังกฤษหรืออเมริกันหรอกนะŽ เขาพูด

บริการเดินกลับมาพร้อมด้วยเบียร์ 2 แก้วไอเย็นจับจนขาว

วู ซาเวซ์ เดส์ ฟริตส์? ........ มีเฟรนซ์ฟรายมั้ยŽ ช็อง-มารี ถามคนเสิร์ฟผู้ซึ่งอาจได้ยินหรืออาจไม่ได้ยินก็ได้ทั้ง 2 อย่าง ที่คุณพูดน่ะถูกทุกอย่าง เว้นนิโคลซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายการเงิน และต้องคอยตรวจตราทุกโครงการ แล้วก็มาร์คซึ่งจะต้องทำงานเยอะแยะไปหมดทั้งเรื่องสต็อกแล้วก็อะไรต่อมิอะไรเมื่อเราลงมือทำงานกันจริงๆ ผมต้องเอาแบร์นาร์ด์กับ
สเตฟานีมาทำงานนี้ด้วยเพราะไม่รู้จะทำยังไงกะพวกเขา 2 คนนี้มีงานทำแล้วก็จริงแต่ไม่ได้มากพอ ที่เอาเขามาไม่ใช่เพราะเห็นโครงการของคุณไม่สำคัญอะไรหรอกนะ ตรงกันข้ามเลยผมน่ะต้องพึ่งคุณมากแล้วก็หวังว่าคุณคงจะจัดการกับพวกเขาได้ ชี้แนะพวกเขาได้ หรือถ้าจำเป็นก็ทำไม่รู้ไม่ชี้เสียได้ พวกเขาจะได้มีอะไรทำมั่งŽ

มีอะไรทำมั่งงั้นเรอะŽ ผมร้อง พวกนี้กินเงินเดือนจากงบของโครงการผมหรือเปล่าŽ

ช็อง-มารีหัวเราะ


คุณนี่ตลกนะ ตามปกติถ้าใครทำงานไม่ได้เรื่องชักช้า คุณก็จะไล่เขาออกถูกมั้ย แต่ที่นี่คุณทำอย่างงั้นไม่ได้เพราะเขาจะไปฟ้อง แอ็งสเปคเตอร์ ดู ทราวายล์ หรือผู้ตรวจการการจ้างแรงงาน ถ้าลูกน้องคุณร้องเรียนขึ้นมาแล้วผู้ตรวจการบอกว่าคุณผิดคุณก็ต้องจ่ายค่าเสียหาย ไม่ยังงั้นสหภาพนัดหยุดงานแน่ๆ เลย มันก็แมร์ด์ เชเนราล .... ฉิบหายหนักน่ะซิมื้อนี้ แบร์นาร์ด์กับสเตฟานีทำงานมากับเราอย่างน้อยก็ 10 ปีแล้ว คุณรู้มั้ยว่าถ้าเราไล่เขาออกเราต้องจ่ายค่าเสียหายให้พวกเขามันจะบานเบิกเข้าไปตั้งเท่าไหร่ ต่อให้คนอื่นๆ ไม่ได้นัดหยุดงานน่ะนะ และถ้าเกิดคนของเราเกิดนัดหยุดงานขึ้นมาจริงๆ คิดซิว่าเนื้อมันจะออกกลิ่นยังไงเมื่อคนงานแกล้งปิดไฟตู้เย็นŽ

ผมไม่ได้แนะนำถึงขนาดให้ไล่เขาออกหรอกครับ เพียงแต่ .....Ž ผมจะพูดยังไงดีเขาจึงจะเข้าใจว่าให้เอาพวกนั้นไปซะ

บริกรกลับมาพร้อมอาหาร 2 จาน มีผักสลัดดูฉ่ำๆ กองสูงและขนมปังแผ่นบางหลายแผ่นมีเนยแข็งเยิ้มด้วยความร้อนอยู่ข้างบน ไม่เห็นมีเขาของแพะที่ตรงไหนเลย หรือเขาเอามาส่งผิดโต๊ะ แต่ผมจะกล้าบ่นได้ยังไง

คนเสิร์ฟวางจานลง อวยพรว่า บ็อง นับเปตีต์Ž แล้วก็หันหลังกลับไป

ช็อง-มารีทวงเฟรนช์ฟรายที่สั่งไป

เช เกอ เดอ แม็งส์ เมอซิเออร์ .... ผมมีแค่ 2 มือนะคู้น!Ž เขาย้อนให้ ถ้าผมเข้าใจถูกต้องก็คือ คนเสิร์ฟด่าให้แบบสุภาพว่าไปเอากะไอ้ตุ๊ดที่ไหนก็ไปเถอะไป๊

คนเสิร์ฟคนนี้เค้าเป็นอะไรของเค้าŽ ผมถามเมื่อหมอนั่นไปลับตาแล้ว ถ้าลูกน้องคุณเป็นยังงี้คุณจะไล่ออกมั้ยนี่ เขาไม่สุภาพเลยนะครับŽ

ไม่สุภาพแปลว่าอะไรŽ

อ๋อ ก็แปลว่าหยาบคายหรือถ่อยน่ะซิครับŽ

อ้อ ถ่อยนั่นเอง เข้าใจแล้ว ผมรู้จักคำนี้ เคยมีคนอังกฤษด่าผมว่าไอ้เศส ไอ้ถ่อยŽ ช็อง-มารียิ้มกว้าง พออกพอใจกับความทรงจำในอดีตที่เคยถูกคนอังกฤษด่า พวกคนเสิร์ฟจะยุ่งจนหัวหมุนเสมอช่วงอาหารกลางวัน แต่พวกเขาก็รู้นะว่าถ้าเราไม่พอใจบริการเราก็จะไม่ทิปŽ

ผมจะไม่วันจ้างบริกรถ่อยๆ แบบนี้มาทำงานในร้านน้ำชาแบบอังกฤษของผมเป็นอันขาด ผมนึกในใจ แม้จะยอมรับว่าหมอนี่ทำงานรวดเร็วคล่องแคล่วดีก็ตาม เร็วแบบไฮเปอร์น่ะ

และวันนี้เขาก็ต้องรีบร้อนกว่าปกติด้วยŽ ช็อง-มารีพูดต่อ ยิ้มแย้มอย่างมีเลศนัย แก้กระดาษห่อมีดกับส้อมออก

คนเสิร์ฟคนนี้หยาบคายกับเราอย่างเห็นว่าตัวเองเป็นต่อ ก็ลูกค้านั่งกินข้างถนนนี่นา จะเสิร์ฟเลวร้ายยังไงก็ได้ ตรงที่เรานั่งนั้นอยู่ห่างจากริมทางเท้าที่จอดรถเพียงหลาเดียว คนที่เดินผ่านไปมาจะถุยน้ำลายใส่จานอาหารของเราโดยไม่ต้องเอี้ยวตัวมาก็ยังได้ และถ้าช็อง-มารีใช้มีดปลายแหลมในมือของเขาพลั้งพลาดไปหน่อย เขาก็ผ่าตัดเอาลูกออกทางหน้าท้องให้แก่คนเดินถนนได้สบายมาก

แล้วเราค่อยวิจารณ์ทีมงานทีหลังเถอะŽ เจ้านายของผมบอก สักเดือนหน้าเป็นไง .... บ็อง นับเปตีต์นะŽ

บ็อง นับเปตีต์ครับ ...ขอให้อร่อยนะครับŽ ผมอวยพรตอบทั้งๆ ที่ตัวเองนั้นหมดอร่อยไปเรียบร้อยแล้ว

ผมกัดขนมปังกรอบๆ นั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วความอร่อยก็พรั่งพรูกลับมาโดยพลัน ผมเข้าใจแล้วล่ะ แซฟเวร่อร์Ž นั้นก็คือเนยแข็งทำจากนมแพะ ไม่ใช่เอาแพะมาทำเป็นอาหารจานร้อน มันอร่อยมากเลย ร้อนและเป็นครีมเยิ้มอยู่บนขนมปังกรอบๆ ผักสลัดนั้นราดด้วยน้ำส้มจนโชกแล้วโรยวอลนัตป่นหยาบๆ พอตักเข้าปากน้ำสลัดก็ทำให้อร่อยจนน้ำลายสอ

ผมนั่งกินอาหารอยู่ที่ด้านนอกของร้านริมถนนในแสงแดดอุ่นของฤดูใบไม้ร่วง เอร็ดอร่อยกับรสชาติโดยไม่สนใจต่อรถราที่แล่นผ่านไปมาหรือเสียงร้องอุทานของคนที่เดินเข้ามาแล้วพบว่าไม่มีโต๊ะนั่ง ตึกสูงๆ ซึ่งมีรูปสลักเทวดาและสัตว์ในนวนิยายต่างๆ ตรงเท้าแขนของเฉลียงก็ไม่ได้ทำท่ามองหมิ่นลงมายังผมอย่างที่ผมรู้สึกในตอนแรกอีกแล้ว ร้านค้าซึ่งมีเสื้อผ้าหรูๆ แชมเปญขวดยักษ์ขนาด 3 ลิตร หรือตับบดใส่เห็ดทรัฟเฟิ้ลราคาแพงลิบลิ่วที่ตั้งโชว์ตรงหน้าต่างร้านแถวนั้นไม่ได้ดูแปลกแยกจากผมราวอยู่กันคนละโลกอีกต่อไป 2 - 3 วินาทีอันแสนวิเศษนั้นผมรู้สึกแว่บขึ้นมาว่าตัวเองกลมกลืนกับปารีสแล้วและเป็นอย่างดี

เรื่องอื่นๆ ของงานน่ะโอเคใช่มั้ยŽ เจ้านายของผมถาม ท่าทางเขาบอกชัดว่าอยากให้ผมตอบว่าใช่

ครับ ดีครับ มีปัญหานิดหน่อยนิดเดียวเองเรื่องนามบัตรของผมŽ ผมบอก ผมเพิ่งได้รับนามบัตรกล่องหนึ่งเมื่อเช้านี้

เป็นยังไงเรอะŽ

ผมตัดสินใจจะไม่พูดเรื่องที่นามบัตรนั้นพิมพ์ว่า พอล เวสต์เฉยๆ โดยไม่ใส่ตำแหน่งอะไรเลยทั้งๆ ที่ผมหวังว่าน่าจะใส่เสียหน่อย

คือยังงี้ครับ ในเมื่อเรายังไม่ได้ตกลงกันว่าจะใช้ชื่อชั่วคราวของโครงการว่ายังไง เราก็แค่ใส่โลโก้ของบริษัทแม่ไปก่อน คือวิย็อง ดีฟือซิย็อง ถูกไหมครับŽ

ใช่ แล้วไงŽ

แต่ว่าชื่อย่อของบริษัทนั้นอาจจะฟังไม่สะดุดอะไรในภาษาฝรั่งเศสเลย แต่วี.ดี. นี่จะทำให้คนอังกฤษเกิดอาการกินไม่ลงเลยนะครับ และซัพพลายเออร์ของเราส่วนใหญ่ก็เป็นคนอังกฤษเสียด้วยซิŽ

ช็อง-มารีทำหน้าไม่สบายใจ

แล้ววี.ดี. มันแปลว่าอะไรฮึŽ

ผมอธิบาย

เจ้านายหัวร่อก๊ากเสียจนสำลัก เศษขนมปังกระเด็นหวือมาติดที่ลำคอ เขาจิบเบียร์ ใช้กระดาษเช็ดมือเช็ดน้ำตา

ตอนที่ผมไปเยี่ยมบริษัทคุณที่ลอนดอน ไม่เห็นใครพูดเรื่องชื่อบริษัทผมเลยŽ

ไม่มีหรอก ผมนึก แต่เขากิ๊กกั๊กกันลับหลังทั้งนั้นแหละ

โชคดีนะที่คุณมาบอกผมเสียตอนนี้Ž ช็อง-มารีพูดต่อ เรากำลังจะขายเนื้อวัวให้อีกหลายประเทศ ผมจะได้รีบเปลี่ยนตัวย่อของบริษัท วี.ดี. เอ็กซพอร์เตอร์เสียŽ

โชคดีครับŽ ผมเห็นพ้องด้วย คุณว่าเราควรเลือกชื่อที่ฟังดูเป็นอังกฤษๆ หน่อยใส่นามบัตรไหมครับ อย่าง ที ไทม์ หรือ ที ฟอร์ ทู อะไรแบบนี้Ž


อือม์ม์ ... หรือชื่อผมเลือก มาย ที อิส ริช .... ผ้าขี้ริ้วห่อชา ดีมั้ยŽ

คราวนี้ผมเป็นฝ่ายสำลักจนเศษขนมปังกระเด็นบ้าง

บริกรเดินกลับมาแล้วสอดใบเสร็จลงใต้พวงเครื่องปรุง พูดอะไรแถมท้ายซึ่งผมฟังไม่ออกแล้วก็ผละจากไป


ช็อง-มารียิ้ม เช็ดปากด้วยกระดาษเช็ดปากของร้าน


ว่าแล้วไงŽ เขาพูด

อะไรหรือครับŽ

เจ้านายของผมอธิบายว่าบริกรต้องการเก็บเงินเสียเดี๋ยวนี้เลย เพราะเขากำลังจะสไตรค์อยู่เดี๋ยวนี้แล้ว เช่นเดียวกับบริกรซึ่งสังกัดสหภาพแรงงานทั้งหลายในปารีส บริกรเหล่านี้ส่วนมากจะสวมเสื้อแจ็คเก็ตเอวลอยสีดำ แล้วก็แปลกอยู่เหมือนกันที่เป็นผู้ชายแทบจะทั้งหมด

เหตุผลที่บริกรสไตรค์ในระหว่างลูกค้ากำลังกินอาหารกลางวันก็เพื่อให้ลำบากประดักประเดิดเล่น แต่เหตุผลที่แท้จริงของการนัดหยุดงานนี้เกิดจากร้านอาหารฝรั่งเศสจะบวกค่าบริการ 15% แทบทั้งนั้น เพราะคนเสิร์ฟจะอยู่ได้ก็เพราะเงินค่าทิปและค่าบริการนี้ แต่พอเปลี่ยนไปใช้ค่าเงินยูโร ค่าทิปตามร้านอาหารที่บริกรได้รับกลับน้อยลง ก่อนใช้
ยูโรลูกค้ามักทิปด้วยธนบัตร 10 ฟรังค์ แต่บัดนี้ลูกค้าจำนวนมากจะทิ้งธนบัตร 1 ยูโรเอาไว้ให้คนเสิร์ฟซึ่งมีค่าเพียง 6.5 ฟรังค์ฝรั่งเศสเท่านั้นเอง


บริกรตามร้านกาแฟและร้านกาแฟที่ขายอาหารจึงสไตรค์ด้วยเหตุนี้

คนเสิร์ฟของเราเดินกลับมา ตามองหาเงินทิปของตัว

เรายังกินไม่เสร็จเลยŽ ช็อง-มารีอุทธรณ์ ทำท่าโศกเศร้า เราอยากกินของหวานและดื่มกาแฟด้วยนะŽ

คนเสิร์ฟพูดอะไรบางอย่าง มีคำว่าอ็อง แกรฟ ...สไตรค์ นะครับรวมอยู่ด้วย

ช็อง-มารียกไหล่อย่างรุนแรงที่สุดที่ผมเคยเห็นมา รุนแรงกว่าไอ้บ้าคนขายในร้านอุปกรณ์อิเลคโทรนิคส์เป็นไหนๆ ทั้งไหล่ทั้งช่วงแขนแล้วก็กระดูกซี่โครงของเขายกลอยสูงขึ้นแล้วก็ทิ้งฮวบลงมาแบบกูไม่สนโว้ย

ไม่ใช่ปัญหาของผมนี่หว่าŽ เขาบอก พูดตามแบบฉบับของคนปารีสเปี๊ยบทีเดียว ท่าทางนั้นเหมือนกับจะท้าถามว่าเอ็งสไตรค์ยังไงของเอ็งวะ ทีเสิร์ฟละไม่เสิร์ฟแต่ทีเก็บเงินละจะเก็บ

คนเสิร์ฟจนปัญญาไม่รู้จะตอบโต้ยังไงให้หลักแหลม จึงได้แต่คำรามในลำคอและมองเจ้านายของผมอย่างประเมินกำลัง

โอเค คุณจะเอาของหวานอะไรล่ะŽ เขาสาธยายรายชื่อเร็วกว่าสปีดของเครื่องบินคอนคอร์ดเสียอีก ผมฟังทันแค่ แครม บรูเล่ž กับ มูสส์ โอ โชโกล่าต์ž เท่านั้นเอง ดังนั้นจึงรีบเลือกอย่างหลังโดยพลัน แต่ช็อง-มารีเลือกทาร์ต คนเสิร์ฟมองเราอย่างประสงค์ร้ายแล้วจึงสะบัดหน้าไป

เอต์ เดอซ์ กาเฟ่ ..... แล้วก็กาแฟ 2 ที่ด้วยนะŽ เจ้านายตะโกนตามหลังไป


เราได้สิ่งที่สั่งใน 20 วินาทีถัดมา บริกรได้รับเงินค่าอาหารพร้อมทิป ธนบัตรใบละ 1 ยูโรน่ะซิจะอะไรเสียอีก ลูกค้าโต๊ะอื่นพยายามจะฟัดกับคนเสิร์ฟแบบช็อง-มารีบ้าง แต่หมอนั่นตะเพิดเอาหรือไม่ก็ทำเป็นไม่ได้ยินเสีย


ผมได้บทเรียนชีวิตบทสำคัญเลยล่ะว่าไม่จำเป็นเลยที่จะต้องเอาอกเอาใจให้ใครๆ ชอบขี้หน้าเรา นั่นมันเป็นแบบอังกฤษ ถ้าเป็นแบบปารีสล่ะก็ให้พวกเขาเห็นแบบสุดๆ ไปเลยว่าเอ็งจะคิดยังไงข้าก็ไม่สนหรอกโว้ย แล้วพวกเขาก็จะเอาสิ่งซึ่งคุณต้องการมาให้โดยดีเลย ผมทำผิดแบบมาตั้งนาน มัวแต่ประจบเอาใจคนอื่นอยู่นั่นแหละ ถ้าคุณยิ้มแย้มดีงามต่อใครๆ มากไปพวกเขาก็จะหาว่าคุณปัญญาอ่อนนะขอบอก

เพราะฉะนั้นถ้าผมจะขจัดลูกทีมที่ผมไม่ถูกใจผมก็ต้องฟาดฟันลูกเดียว

แต่ปัญหาในการฟาดฟันใครๆ นั่นก็คือพวกเขาแสนจะสุภาพต่อคุณ นี่ซิจะทำยังไงดี แบร์นาร์ด์กับมาร์คนั้นเข้ามาจับมือกับผมทุกครั้งที่พบกันเป็นครั้งแรกในแต่ละวัน พวกเขาจะทักทาย บ็อง ชูร์ ทุกเช้าและก็จะพูดว่า ซาวะ ... สบายดีหรือครับ พอจะจากกันพวกเขาก็จะพูดว่า 
บ็อง ชูร์เน่ .... ขอให้มีความสุขตลอดวันนะครับ ถ้าเป็นตอนบ่าย 2 คนนั่นก็จะบอกว่า บ็อนน์ นับแปรมีดี หรือถ้าเป็นบ่ายใกล้เย็นก็จะบอกว่า บอนน์ แฟ็ง นับแปรมีดี ขอให้มีความสุขตลอดเย็นนี้นะครับ ถ้าเราเพิ่งพบกันเป็นครั้งแรกราวๆ 5 โมงเย็นพวกเขาก็จะพูดว่า บ็อง ซัวร์ แทน 
บ็อง ชูร์ และถ้าเราฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกำลังจะกลับบ้าน เราก็จะอวยชัยให้พรกันก่อนจากลาว่า บอนน์ ซัวเร่ ขอให้มีความสุขในค่ำนี้ นี่ขนาดว่ายังไม่ได้นับ บ็อง วีคเอนด์ ที่พูดตอนเลิกงานวันศุกร์และ บอนน์ เซอแมน ขอให้มีความสุขตลอดสัปดาห์นี้

แค่คำทักทายกันวันหนึ่งๆ ก็หมดเวลาเสียแล้วที่จะพูดกันเรื่องรายงานที่ให้พวกเขาไปอ่าน หรือปรึกษางานตัดสินใจเรื่องโน้นเรื่องนี้

ดังนั้นผมจึงได้นำดีไซน์ขั้นสุดท้ายมาให้ทีมงานดูเสียเลย พวกเขาจะได้รู้เสียทีว่าเวลาสบายๆ น่ะได้สิ้นสุดลงแล้ว

เช้าวันหนึ่งผมก็ไปพบเจ้าหน้าที่แผนกบุคคลเพื่อจะจัดการกับนามบัตรเสียใหม่ ให้พิมพ์ชื่อผมให้ถูกต้องและให้พิมพ์ว่าทีไทม์อันเป็นชื่อโครงการ แทนที่จะพิมพ์ชื่อย่อของบริษัทซึ่งในภาษาอังกฤษนั้นแปลว่ากามโรค

คริสตีนไม่ได้รับอนุญาตให้สั่งพิมพ์นามบัตรให้ใครๆ ตามชอบ หล่อนบอกผมยังงั้น ดังนั้นผมจึงต้องไปเจรจากับแผนกบุคคลเอาเอง

ผมหาแผนกบุคคลจนเจอ แล้วก็เคาะประตูกระจกฝ้า

อ็องเทรซ์Ž เป็นเสียงอ้อนๆ ของผู้หญิง

ในห้องนั้นผมพบมารีอานน์สาวผมยุ่งพนักงานต้อนรับนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานว่างๆ ซึ่งบนโต๊ะไม่มีอะไรนอกจากคอมพิวเตอร์กับแจกันปักดอกอะไรเหี่ยวๆ หน้าตาคล้ายไวโอเล็ต

โอ๊ะ! วู แซ็ต อูแม็ง เรอซอร์ซ โอซิ ? .... อ้าว! คุณก็ทำแผนกบุคคลด้วยเรอะŽ ผมถาม

น็อง, เชอ ซุย เรเซปซิย็องนิสต์ โอซิ .... เปล่า ฉันเป็นพนักงานต้อนรับด้วยต่างหากล่ะŽ มารีอานน์พูดช้าๆ แต่เสียงโกรธต่อไปว่าหล่อนเป็นพนักงานต้อนรับแค่ 9-11 น. ในช่วงเช้าและช่วงบ่ายอีกหน่อยเดียวเท่านั้น สรุปแล้วก็คือหล่อนไม่พอใจนั่นเองว่าทำไมคนมีความรู้เรื่องการบริการบุคคลอย่างหล่อนจึงต้องไปทำงานเป็นพนักงานต้อนรับด้วย


ฟังมารีอานน์บ่นยกแรกจบผมก็ฟังโดยเลิกแปล แว่วๆ ว่าหล่อนบ่นต่อไปเรื่องความน่าละอายและความรู้สึกเหลือทนอะไรๆ ทำนองนั้น เป็นเสียงบ่นแบบคร่ำครวญยาวเยิ่นเย้อเหมือนร้องเพลง คล้ายๆ ซิมโฟนี่ อิน บี มอร์นเนอร์*

แบบนี้ทำมั้ยถึงได้ไม่ไปทำงานกับบริษัทที่ต้องการคนเอาไว้จับผิดพนักงานแบบเต็มเวลามั่งนะ ผมนึกในใจ แต่ก็รู้ว่าถ้าขืนพูดออกไปก็คงไม่ได้นามบัตรเร็วแน่ๆ

ผมเขียนชื่อนามสกุลและคำว่าทีไทม์แบบอักษรตัวใหญ่ใส่ลงในกระดาษให้หล่อน

นามบัตรคงไม่เสร็จก่อนปลายสัปดาห์หน้าหรอกนะคะŽ มารีอานน์บอก

สัปดาห์หน้าเชียวหรือŽ ผมคราง

ปลายสัปดาห์หน้าŽ หล่อนเน้น

โอเค วันศุกร์ผมจะมารับŽ

คอยจนกระทั่งถึงวันจันทร์หน้าก่อนแล้วค่อยมาถามนะคะจะได้ชัวร์ๆŽ มารีอานน์บอก ท่าทางเบิกบานใจกับความไร้ประสิทธิภาพนี้มาก

นับว่าประสบผลสำเร็จไปบางส่วนแล้วละ อีก 10 วันผมก็จะได้ดูปรู๊ฟนามบัตร ผมจะต้องชนะศึกเรื่องโลโก้บริษัทให้ได้ซินะ อย่ามาล้อเล่นกับคนอังกฤษนะเฟ้ย!

ปฏิบัติการบีบบังคับให้คนเคารพนับถือที่ผมกำลังลงมือทำอยู่นี้ รายชื่อถัดไปที่ผมจะต้องจัดการก็คือคริสตีน
เช้าวันรุ่งขึ้นผมไปถึงบริษัทแต่เช้าเพราะคริสตีนเป็นคนไปเช้าเสมอ ผมเดินองอาจเข้าไปห้องทำงานของหล่อน วางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะแล้ว
ชโงกหน้าเข้าไปจูบหล่อนจุ๊บหนึ่งที่ริมฝีปาก ไม่ได้รุนแรงแบบการแท็คของนักรักบี้หรอก แต่ก็โยกตัวจูบจุ๊บเข้าให้อย่างหนีไม่พ้นเหมือนเต้นแทงโก้

แต่มันก็เหมือนใครไปปลุกผีดิบแฟรงเคนสไตน์ให้คืนชีพ ลิ้นของหล่อนฉกตวัดไปทั่วปากผมราวนิ้วมือหมอฟัน นี่ละการจูบแบบฝรั่งเศสแท้ๆ ละ คริสตีนหายใจกระเส่าไปทีเดียว

เวียงส์ ....... มานี่เถอะŽ หล่อนบอก ลากข้อมือผมลิ่วไปตามช่องทางเดินเข้าไปในห้องน้ำผู้หญิง

หล่อนล็อคประตู เรากอดรัดฟัดเหวี่ยงกันรุนแรง ลิ้นฉวัดเฉวียน

ให้ตายเถอะ ทำมั้ยไม่ได้พกถุงยางอนามัยติดกระเป๋ามาด้วยวะ ผมด่าตัวเอง คริสตีนผละออกห่าง ประคองใบหน้าผมไว้ทั้ง 2 มือ

โอŽ หล่อนจูบผมอีกที่ปากอย่างรุนแรงก่อนจะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง สีหน้าบอกความเสียใจ เสียใจเรื่องอะไรฮึ ผมนึกสงสัย เรายังไม่ได้ทำมิดีมิร้ายซักหน่อย

มีอะไรเหรอŽ ผมถาม

เราต้องหยุดแค่นี้Ž

ทำไมล่ะŽ

เช อัง เปอตีต์ ตามีŽ หล่อนบอก

มีเพื่อนตัวเล็กๆ เหรอ อะไรน่ะ ผมงง เป็นคำเรียกอีหนูแบบที่ผู้หญิงเรียกเหมือนผู้ชายเรียกของเค้าว่าไอ้หนูเหรอ

พอเห็นผมงงคริสตีนก็บอกว่า ฉันมีคู่หมั้นแล้วน่ะค่ะŽ

ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเลย ผมไม่ใช่คนขี้หึงซักหน่อย ทำต่อไปเท้อะ! ผมอยากจะบอกออกไปยังงั้นแต่พูดเป็นภาษาฝรั่งเศสไม่เป็น ผมก็เลยเลือกวิธีก้าวเข้าไปหาหล่อนแทน

น็อง ซา เนอ วา ปาส์ ....... ไม่ได้นะคะŽ หล่อนพูด ท่าทางเสียอกเสียใจ ยกมือขึ้นทำท่าเหมือนจะผลักอกผม

นี่มันฟอลี่ .... เหลวไหล หล่อนอธิบาย หล่อนอายุ 25 แล้ว และอยากจะแต่งงานมีลูกมีเต้า คู่หมั้นของหล่อนเป็นคนดี หล่อนไม่อยากจะเสียเขาไปเพราะมีอะไรๆ กับ อ็องเกลส์ .... คนอังกฤษ ซึ่งจะมาอยู่ปารีสแค่ปีเดียว

เมส์ .... แต่ว่าŽ ผมพยายามยกเหตุผลมาอ้างให้ฟังดูเข้าท่ากว่า เชื่อเถอะน่ะว่าการมีเซ็กซ์กับคนอังกฤษนี้ดเดียวนั้นจะไม่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคู่หมั้นพังหรอกนะŽ หรือ อย่ากลัวเลย ผมไม่บอกเค้าหรอกŽ

เมส์ ปูกัว ...... แต่ทำไมเหรอŽ ในที่สุดผมก็ถามขึ้น

คริสตีนมองผมด้วยท่าทางที่น่าจูบที่สุดแล้วจึงพูดว่า

เซ เตต์ อูน แอร์เรอร์Ž หล่อนบอก มันเป็นความผิดพลาดอย่างที่สุดเลย โปรดยกโทษให้หล่อนด้วยเถิด แล้วก็ขอบคุณนะคะŽ หล่อนแถมท้าย

แมร์ซี ปูกัวŽ ผมถาม ขอบคุณผมเรื่องอะไรน่ะ

ขอบคุณที่คุณเป็นอังกริ๊ดอังกฤษ เป็นสุภาพบุรุษเสียมิมีล่ะ คุณปล่อยให้ฉันจูบคุณโดยไม่ได้ ....Ž

โอ๊ย ผมไม่ใช่สุภาพบุรุษอะไรร้อก ผมอยากจะบอกหล่อนออกไปยังงั้น ถ้าคำว่าสุภาพบุรุษของหล่อนหมายความว่าผมไม่ได้อยากนอนกับหล่อนซะเดี๋ยวนี้เลยน่ะนะ คำว่าสุภาพบุรุษอังกฤษในความหมายของผมนั้นก็คือเด็กวัยรุ่นที่อดใจไม่มีอะไรกับสาวจนกว่าจะโตเป็นหนุ่มมีขนที่หัวหน่าวเรียบร้อยเสียก่อน แบบนั้นแหละถึงจะเรียกว่าสุภาพบุรุษอังกฤษ 
คริสตีนไม่รู้หรอกว่าคนอังกฤษเดี๋ยวนี้ไม่ได้เป็นสุภาพบุรุษแบบพระเอกนวนิยายของเจน ออสเตนอีกต่อไปแล้ว พระเอกยุคนั้นต้องรอผู้หญิงยอมไปเดินเล่นในป่าโปร่งด้วยเสียก่อนจึงจะบอกตัวเองได้ว่าเออ สาวเค้ามีใจกะตูนะ

อังกฤษสมัยนี้ไม่ได้เป็นยังงั้นแล้ว ขนาดเจ้าหญิงไดยังไปยืนพิงต้นไม้ทำอะไรๆ กับครูสอนขี่ม้าเลยจริงมั้ย เชื่อเถอะว่าไม่มีอะไรที่เป็นสุภาพบุรุษอยู่ในสมองผมเลย ..... ในกกน.ก็ไม่มีเหมือนกัน

ปาร์ด็อนน์-มัว ม็อง อิงลิชแมน ...... ต้องขอโทษแล้วนะคะคุณอังกฤษของชั้นŽ คริสตีนพูดอย่างรักใคร่แล้วก็รีบร้อนจากไปโดยเร็ว ทิ้งให้ผมยืนเป็นบ้าอยู่ในห้องน้ำหญิงเพียงคนเดียวกับไอ้ดึ๋งที่ไม่ได้ใช้งานอีกตัวหนึ่ง ไปตายหงส์ตายห่านที่ไหนก็ไปเถอะไอ้มิสเตอร์ดาร์ซี่*Ž ผมด่าขึ้นไปยังเพดานห้องน้ำ ไปตายหงส์ตายห่านที่ไหนก็ไปเลยไป๊ไอ้คุณฮิวจ์
แกรนท์ เพราะสุภาพบุรุษแสนสาหัสอย่างพวกมึงนี่แหละพวกกูถึงได้อดแด .. กันไปหมดŽ

แต่อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยที่สุดการสไตรค์ของคนเสิร์ฟก็ทำให้ผมป๊อปปูล่าร์ขึ้นมานิดหน่อย

หลังจากความอลเวงเมื่อร้านกาแฟสไตรค์ครึ่งวันในวันแรกซึ่งพวกเจ้าของร้านโดนด่ายับแล้ว ร้านบราซเซอรีหรือร้านกาแฟซึ่งขายอาหารด้วยก็ตกลงใจจ้างพนักงานชั่วคราวมาทำงานแทน

พวกลูกค้าได้รับบริการจากเด็กนักศึกษาหน้าตาน่าเอ็นดูแต่ไร้ความสามารถเสียจนเบื่อ พวกนี้ยอมมาทำงานค่าจ้างถูกที่เคาเตอร์ฟาสต์ฟู้ดก็เพื่อจะได้ทิปงามๆ

คราวนี้แทนที่พวกลูกค้าจะได้เจอะเจอคนเสิร์ฟที่สวมแจ็คเก็ตสีดำเอวลอยท่าทางอารมณ์เสียตลอดเวลา ก็จะเจอคนเสิร์ฟที่ยิ้มแย้มทำท่าทางเหมือนอเมลี ปูแล็ง*หรือไม่ก็คนเสิร์ฟจากประเทศในอเมริกาใต้
หล่อสุด

คนเสิร์ฟพวกนี้ไม่รู้จักอาหารอะไรซักอย่าง ทำจานแตกเพล้งอยู่เรื่อยๆ แล้วก็ส่งบิลผิดโต๊ะอยู่เป็นประจำ ก็เหมือนในอังกฤษนั่นแหละ บ้านผมนั้นเชื่อกันว่างานบริกรตามร้านอาหารเป็นงานชั่วคราวสำหรับคนที่มีความสามารถไม่ถึงขั้นที่จะทำงานประเภทอื่น

แต่คนเสิร์ฟสาวๆ สวยๆ ก็ดูแล้วฉ่ำใจดี เหมือนดูแต่หนังที่อินกริด เบิร์กแมนแสดงมาเนิ่นนาน แล้วก็พบว่าหนังตลกหัวเราะกันดิ้นแบบมอนตี้ไพทอน** ก็มีด้วยเนอะ

พวกคนเสิร์ฟหน้าใหม่พวกนี้ดีอกดีใจที่จะได้พูดอังกฤษเมื่อพบว่าผมพูดฝรั่งเศสตะกุกตะกักเพียงไร ถึงแม้ผมจะอยากฝึกพูดฝรั่งเศสแต่ผมก็อดดีใจไม่ได้ที่พบว่าพวกเขาชอบพูดคุยกับผม มี 2-3 คนให้เบอร์โทรผมด้วยนะ ผู้หญิงซิ โธ่!

หลายสัปดาห์หลังจากที่เห็นพวกลูกจ้างชั่วคราวพวกนี้โกยเงินทิปเป็นกระตั๊ก คนเสิร์ฟตัวจริงที่สไตรค์ก็ชักตกใจว่าชิ้บ .... บ .... ละกู แล้วเสื้อแจ๊คเก็ตเอวลอยสีดำก็พรึ่บกลับมาอีกครั้ง พวกเขาจะโฉบไปตามโต๊ะต่างๆ อย่างกระฉับกระเฉงรวดเร็วกว่าเดิม ชีวิตคืนเข้าสู่สภาพปกติอีกครั้งหนึ่งแล้วอะไรๆ ในปารีสก็เป็นอย่างที่เคยเป็นต่อไป

ไม่มีอะไรแม้แต่การสไตรค์จะผลักเมืองหลวงของฝรั่งเศสให้เหออกไปจากทางโคจรได้นาน

ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้อูฐหลังหักก็คือเรื่องนามบัตร

สัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายนซึ่งช้ากว่ากำหนดไปหลายวันเต็มที มารีอานน์ก็ทำท่าอารมณ์เสียเอากล่องนามบัตรมาส่งให้ผม

ผมมองผ่านกล่องพลาสติกใสลงไปยังนามบัตรในนั้น ชื่อของผมสะกดถูก ดี

ตรงที่เคยเป็นชื่อย่อของบริษัทวี.ดี. มีคำว่า มาย ที อิส ริช ..... ผ้าขี้ริ้วห่อชา

มาย ที อิส ริช .... ผ้าขี้ริ้วห่อชา! จะบ้าเรอะไง

มารีอานน์กรายเข้ามาใกล้ จะดูว่าผมมีปฏิกิริยายังไงแล้วก็เอาไปนินทานั่นเองแหละ

แมร์ ซี ..... ขอบใจŽ ผมบอก ทำเก๊กเหมือนนายทหารอังกฤษที่รับปืนพกมาจากนายสิบเพื่อจ่อขมับระเบิดขมองตัวเองซะ แทนที่จะยอมจำนนต่อข้าศึกให้เสียเกียรติ

ผมกะจังหวะที่มารีอานน์จะต้องจ้องเขม็งอยู่
แล้วก็หย่อนนามบัตรทั้งกล่องลงตะกร้าทิ้งผงอย่างสง่างามมาดแมนที่สุด
[มีต่อในเล่ม]


Copyright © 2009 by Freeformbooks, Lomdee Co.,Ltd. All rights reserved.
© สงวนลิขสิทธิ์โดยฟรีฟอร์มสำนักพิมพ์ ในนามบริษัท ลมดี จำกัด ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดของหนังสือเล่มนี้ไปลอกเลียน ทำสำเนา ถ่ายเอกสาร หรือนำไปเผยแพร่ในอินเตอร์เน็ต หรือสื่อชนิดอื่นๆ ไม่ว่าในรูปแบบใด นอกจากจะได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น




Merde Actually
แมร์ด แอคชวลลี่
: ทุกหัวใจมีแมร์ด
วลัยภรณ์ นาคพันธุ์ : แปล
มนันยา : คำนิยม

หลังจากที่พอลได้เปิดร้านน้ำชาอังกฤษในฝรั่งเศสสมดังความตั้งใจ แต่พอลก็ยังมีคำถามมากมายเกี่ยวกับฝรั่งเศสที่ต้องการคำตอบ เช่นว่า อะไรที่จะทำให้ตำรวจในฝรั่งเศสกลัวที่สุด? ทำไมจึงไม่มีการเตือนบนชายหาดเปลือยกาย, การนอนกับเมียของเจ้านายผิดหรือเปล่า? และที่สำคัญพอลยังคงตามหาสาวฝรั่งเศสที่สมบูรณ์แบบ แต่พอลจะเจอรักแท้ไหม หรือจะจบลงบนกองแมร์ด? การผจญภัยครั้งใหม่ของพอลที่ยังคงสร้างปัญหาระหว่างประเทศแบบสุดฮาอีกเช่นเคย (ราคาปก 325 บาท)



Talk to the Snail
ทอล์ค ทู เดอะ สเนล
: กฎแห่งแมร์ด
อธิชา มัญชุนากร กาบูล็อง : แปล

ทำอย่างไรถึงจะได้รับการบริการดีๆ ในภัตตาคารฝรั่งเศส, เรียนรู้การวางตัวแบบสุภาพและหยาบคายสุดๆ ในเวลาเดียวกัน ค้นพบภาษารัก เซ็กส์ และการสูบบุหรี่ (ไม่จำเป็นต้องเรียงตามลำดับ), วลีที่สำคัญและขำขันฝรั่งเศ๊ส ฝรั่งเศสที่นำมาใช้ได้ในทุกสถานการณ์ พร้อมตัวอย่างไหวพริบเล็กๆน้อยๆที่ใช้ได้ในชีวิตจริง ฯลฯ ทั้งหมดรวมอยู่แล้วในหนังสือเล่มนี้ เหมาะกับคนที่สนใจฝรั่งเศส อยากไปฝรั่งเศส หรือคนที่กลัวทุกอย่างเกี่ยวกับฝรั่งเศส ก็ห้ามพลาดเล่มนี้อย่างเด็ดขาด! (ราคาปก 325 บาท)

พ็อคเก็ตบุ๊คออกใหม่ ฟรีฟอร์มสำนักพิม

[ขวา]
พ็อคเก็ตบุ๊คออกใหม่ วางจำหน่ายแล้ว มกราคม 2553
ฟรีฟอร์มสำนักพิมพ์
Last update :Jan-2010
.............

●พ็อคเก็ตบุ๊คฟรีฟอร์มสำนักพิมพ์ ปกติวางจำหน่ายที่ร้านนายอินทร์,ร้านซีเอ็ดบุ๊คเซ็นเตอร์,ร้านดอกหญ้า สยามแสควร์ ซอย3, ร้านคิโนะคุนิยะ,ร้าน Sauce Art Literature เอกมัย (Vanilla House), ร้านแพร่พิทยา, ร้านบุ๊คคลับ,ศูนย์หนังสือจุฬาฯ และร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ --หาไม่เจอกรุณาสอบถามพนักงาน [เค้าจะได้รีบหาหรือรีบสั่งมาวางไงคะ เป็นการช่วยสำนักพิมพ์ได้ด้วยทางหนึ่ง] .ใ

● หาอ่านไม่ได้จริงๆสามารถติดต่อสั่งซื้อโดยตรงได้ที่ สำนักงานฟรีฟอร์ม....... บริษัท ลมดี จำกัด เลขที่ 22/5 สุขุมวิท 23 คลองเตยเหนือ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110 โทร. 0-2664-4256-7 โทรสาร 0-2664-4259 (เวลาทำการ 09.00 - 17.00 น. หยุดเสาร์-อาทิตย์) และ 08-5664-9612 อีเมล: freeformthailand@hotmail.com

สำนักพิมพ์ โลนลี่ปาย [lonely pai]
พิมพ์หนังสือปาย ทำในปาย และขายเฉพาะในปาย
ในเครือฟรีฟอร์มสำนักพิมพ์ รับสมัคร กองบรรณาธิการ และ กราฟิคดีไซเนอร์ ฝีมือดี พร้อมเดินทางมาทำงาน
ใน อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน
กองบก.ควรมีกล้องดิจิตอล และ pc ของตัวเองมาด้วย
ดีไซเนอร์ควรมีแมคฯ และใช้อินดีไซน์คล่อง
สนใจส่งประวัติและผลงานมาที่อีเมล์ lonelypai@hotmail.com
ด่วนมากๆ งานรอเพียบจ้า!
.......................

ส้นสูง สโนว์ไวท์ ลิปสติก

คำ ผกา เธอคือไม้ขีดไฟ ผู้พร้อมจะจุด : พ.ศ.นี้บอกได้ว่าเธอก้าวขึ้นมาเป็นเป็นผู้หญิงที่โดดเด่นอีกคนหนึ่ง ด้วยงานเขียนเปื้อนสีโยนออกมาพร้อมลูกระเบิดและไม้ขีดไฟที่จุดติด นอกเหนือจากเนื้อหาที่โดนใจคนหลายคน และขัดใจคนอีกหลายคนเช่นกัน สิ่งที่ทำให้โดนและขัดนั้นคือภาษาที่สื่อสารกับผู้อ่านอย่างถึงอกถึงใจ ร้อนแรง และแสบสันต์
..................

ส้นสูง สโนว์ไวท์ ลิปสติก : กุสุมาลย์ ณ ลำพู + คำ ผกา - ผลงานจดหมายโต้ตอบระหว่างผู้หญิงสองคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ แฟชั่น สื่อ ผ่านมุมมองทางสังคม วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ ภาษาพูดแบบถึงลูกถึงคน เจ็บ แสบ กัด มันส์ โดย คำ ผกา คอลัมนิสต์ลูกชาวบ้าน กุสุมาลย์ ณ ลำพู เป็นสาวไฮโซฯ เพื่อนสนิท (วางจำหน่ายแล้ว)

.............

เมนูปรารถนา รักไม่เคยชิน คำ ผกา

......................... ..............

เมนูปรารถนา : คำ ผกา -พิมพ์ครั้งที่ 2 เรื่องราวความรัก ความสัมพันธ์ และอารมณ์โรแมนติกของฮิมิโตะ ณ เกียวโต อีกภาคหนึ่งของคำ ผกา โดยเขียนเชื่อมโยงกับฤดูกาล อาหาร เครื่องดื่ม ขนม อันหลากหลาย (วางจำหน่ายแล้ว)

..................................

............................

.........................................

................................ .........

รักไม่เคยชิน : คำ ผกา - ความรักความสัมพันธ์ ปัญหาซับซ้อนสารพันของคนสมัยใหม่ ในมุมมองของผู้หญิงยุคนี้ ผิดถูกเลวดีเราไม่เอ่ยถึง เพียงแต่ทุกอย่างสามารถอธิบายได้ด้วยมุมมองทางสังคม ประวัติศาสตร์ (วางจำหน่ายแล้วนี้)

Alice in Wonderland

...................................................
freeform fairy tales
ชุดออริจินอล 3 เล่ม ที่ห้ามพลาด
.........
เทพนิยายที่เด็กทุกคนต้องอ่าน
ผู้ใหญ่ทุกคนต้องผ่าน
.......
ฟรีฟอร์มสำนักพิมพ์แนะนำสุดหัวใจ :)
เริ่มต้นกันด้วย
Alice in Wonderland : อลิซในดินแดนพิศวง
by Lewis Carroll
จิระนันท์ พิตรปรีชา: แปล
.....................
มาร่วมกันต้อนรับ Alice in Wonderland ที่กำลังจะกลายเป็นฉบับภาพยนตร์อีกครั้งโดยฝีมือกำกับภาพยนตร์ของ ทิม เบอร์ตัน ผู้กำกับสุดเซอร์เจ้าของผลงานภาำพยนตร์เรื่องดังมากมาย (รวมถึงพ็อคเก็ตบุ๊ค "เด็กชายหอยนางรม" ที่หลายคนกำลังตามล่าอย่างเอาเป็นเอาตาย) โดยมี จอห์นนี่ เดปป์ มารับบทบาทชายมหัศจรรย์ The Mad Hatter : จิระนันท์ พิตรปรีชา กวีซีไรต์ บรรจงแปลสุดฝีมือ ฟรีฟอร์มสำนักพิมพ์จัดพิมพ์ เพื่อนักอ่านชาวไทยที่"หลงรักเทพนิยาย"และ"หลงรัก"จอห์นนี่ เดปป์โดยเฉพาะ : ) คลิกอ่านต่อ
..............

เหตุเกิดเพราะเชือกเส้นเดียว+เงื้อแล้วก็ต้องฟัน

เหตุเกิดเพราะเชือกเส้นเดียว........ มนันยา แปล ......... ขายดีติดอันดับ 1. จากงานสัปดาห์หนังสือไปแล้ว สำหรับ “เงื้อแล้วก็ต้องฟัน” ผลงานรวมเรื่องสั้นชั้นเทพชุดที่ 1. ของกีย์ เดอ โมปัสซังต์ นักเขียนในดวงใจตลอดกาลของนักแปลมือ 1.ของเมืองไทยอย่าง “มนันยา”ที่เจ้าตัวบรรจงคัดเลือกเรื่องสั้นแต่ละเรื่องมาแปลด้วยตัวเอง ในสำนวนคมกริบ ไม่บันยะบันยัง ถึงลูกถึงคนอันเป็นเอกลักษณ์
...............
สำหรับ ผลงานรวมเรื่องสั้นชั้นเทพชุดที่ 2. ของกีย์ เดอ โมปัสซังต์คราวนี้ “มนันยา” ยังคัดเลือกทุกเรื่องที่เธอชอบมาแปลด้วยตัวเองอีกเช่นเคย คราวนี้ฟรีฟอร์มสำนักพิมพ์ทำให้อ่านอิ่มจุใจ ด้วยหนังสือเล่มใหญ่เต็มไม้เต็มมือ ที่อัดแน่นไปด้วยเรื่องสั้นสุดเจ๋งที่คัดแล้วอย่างดี
..........................................................................................
...............................
เหตุเกิดเพราะเชือกเส้นเดียว มีทั้งหมด 25 เรื่อง อาทิ .เพราะไม่กล้านอนเตียง .หอมกลิ่นคอกม้า.แกล้งเจ้าบ่าว ความพยาบาท .เรื่องรักในป่าโปร่ง .สงครามกับหญิงวิกลจริต . เผื่อจะใช้บริการ . เหตุเกิดเพราะเชือกเส้นเดียว . หล่อนเป็นใคร . ผู้มีรักแท้ . ตวงเมียขาย . ปารีสที่อยากรู้จัก . ความในใจของทหารรับใช้ . โชคของผู้หมวดลาร์ . ความลับที่เพิ่งได้รู้ . ความรักอันรุนแรง 7. เบื่อเหลือเกิน . ดาบนี้ขึ้นสนิม . ความรักนิรันดร . ทนไม่ไหวแล้ว ทุกเรื่องยังคมกริบ โหด มันส์ ฮาแบบไม่กล้าวาง ไม่กล้าลุกไปเข้าห้องน้ำเช่นอีกเช่นเคย ฟรีฟอร์มรับประกันว่าอ่านแล้วติดหนึบและจะต้องรีบร้องหาเล่ม 3. มาอ่านโดยพลัน! เล่มต่อไปน่ะหรือ คงไม่ต้องรอนาน กำลังจะวางแผงตามกันมาในเร็วๆ นี้
................ ................... .......................................................................................................................... ....................... ..........................
The Best
Short stories
of Guy De
Maupassant เงื้อแล้ว…
ก็ต้องฟัน มนันยา
: แปล
..............
รวมสุดยอดเรื่องสั้นชั้นเทพของกีย์ เดอ โมปัสซังต์ หักทุกมุม ไม่บันยะบันยัง “มนันยา” บรรจงคัด 12 เรื่องสั้นแสนรักมาบรรจงแปลสุดฝีมือ ผลงานสุดยอดเรื่องสั้นของนักเขียนอายุสั้น ผู้ฝากผลงานยืนยงและยิ่งใหญ่เอาไว้ในโลกวรรณกรรม ด้วยฉายา “บิดาแห่งเรื่องสั้นโมเดิร์น” ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษเวอร์ชั่นใหม่ๆ ออกวางจำหน่ายเกือบทุกปี โดยนักแปลหลายรุ่นหลายคน แสดงให้เห็นถึงความเฉียบขาดระดับขึ้นหิ้ง ยิ่งผ่านการเจียระไนจากนักแปลมืออาชีพระดับฉกรรจ์เช่น“มนันยา”ด้วยแล้ว บอกได้คำเดียวว่า “ห้ามพลาดทุกกรณี!” (ราคาปก 165 บาท) คลิกอ่าน,ประวัตินักเขียน-นักแปล และรายละเอียดเกี่ยวกับ "เงื้อแล้ว...ก็ต้องฟัน" ทั้งหมด

พิศวาสเลือด,ทฤษฎีแห่งการฆ่า

SEX CRIME
พิศวาสเลือด

“ฆาตกรบางครั้งก็เป็นคนธรรมดา จนกว่าจะมีความต้องการทางเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง เจาะลึกสารพัดเล่ห์ร้ายก่อนที่คุณจะกลายเป็นเหยื่อ ….คนฆ่าคนได้ลงคอเพราะอะไร เพราะโกรธ เกลียด อาฆาตมาดร้าย นั่นอาจจะปกติธรรมดา เพราะการฆ่าอีกมากมาย มีสาเหตุซับซ้อนมากกว่านั้น อย่างฆาตกรหญิงที่ฆ่าสามี แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มคือ หนึ่ง ผู้หญิงที่อายุน้อยที่มีความต้องการทางเพศสูง และสอง เป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่ผิดหวังในเรื่องชีวิตคู่ การศึกษาพบว่าการที่ภรรยาลงมือฆ่าสามีนั้น เกิดขึ้นน้อยกว่าการที่สามีฆาตกรรมภรรยา ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ฯลฯ ? (วางจำหน่ายแล้ว) คลิกอ่านรายละเอียด

...................................................................................
...................................................................................
.................................................................................
CRIME SCENES
ทฤษฎีแห่งการฆ่า

ครั้งแรกกับการรวมรวมสารพัดทฤษฏีแห่งการฆ่า แม้ว่าความโหดเหี้ยมของฆาตรกรนั้น บางครั้งไม่มีรูปแบบซับซ้อนใดๆ มากมาย ฆาตรกรจำนวนไม่น้อยเลย ที่ฆ่าคนได้โดยไม่ต้องมีแรงจูงใจใดๆ ทั้งสิ้น ฆาตรกรต่อเนื่องก็คือฆาตกรที่ลงมือฆ่าซ้ำแล้วซ้ำอีก ส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับการข่มขืน เท็ด บันดี เป็นนักศึกษากฏหมายรูปหล่อ ทุกคนในศาลต้องมองเขาจนเหลียวหลัง เขาเป็นตัวอย่างชั้นดีในการศึกษาจิตใจฆาตกรต่อเนื่อง ฉายาของเขาคือ นักฆ่าไอคิวสูง” , อัจฉริยะบางคนอาจจะมีความเป็นฆาตรกรอยู่ในตัว หากมองย้อนไป นักเขียนชื่อก้องโลกทั้งหลายต่างเติบโตมาจากการเป็นเด็กก้าวร้าว และเป็นคนเจ้าอารมณ์ด้วยกันทั้งนั้นฯลฯ(วางจำหน่ายแล้ว) คลิกอ่านรายละเอียด

หวงเยวี่ยน

หวงเยวี่ยน : หนุ่มนักเขียนดาวรุ่งวัยยี่สิบแปด เคยโพสต์นิยายบนอินเทอร์เน็ต แต่ผลงานก้าวพ้นนิยายรักสูตรสำเร็จแบบอินเทอร์เน็ตไปไกลโพ้น ด้วยความคิดสร้างสรรค์แปลกใหม่ กรุยทางสร้างสไตล์เฉพาะตัว มีแรงดึงดูดที่ทำให้ผู้อ่านติดหนึบ สมัยเรียนมัธยมเคยไม่พูดไม่จาถึงครึ่งปี เคยเดินรอบสนามแปดคาบเรียนเพื่อขบคิดข้อสงสัยเกี่ยวกับชีวิต บ้าหนังสือหนัก-ขนาดสะสมเล่มที่อ่านจบแล้วได้มากกว่าหมื่นเล่ม เป็นแฟนพันธุ์แท้หนังสือการ์ตูน และนิยามตัวเองว่า "ผมไม่ใช่คนธรรมดา แต่ผมเป็นระเบิด!"

...........................................................................
....................................................
................................................................................................................................
.....................................
............................
剪刀石頭布 ฆ้อน กรรไกร กระดาษ
หวงเยวี่ยน : เขียน
อนุรักษ์ กิจไพบูลทวี : แปล
'ปราย พันแสง : คำนิยมชมชื่น
[ผลงานเล่มใหม่ล่าสุดของหวงเยวี่ยน
-วางจำหน่ายแล้ว] ...
ฆ้อน กรรไกร กระดาษ”ผลงานเล่มใหม่ล่าสุดของหวงเยวี่ยนจากฟรีฟอร์มสำนักพิมพ์ เป็นเรื่องของชีวิตหญิงสาวตัวเล็กๆ ในสังคม เป็นคนธรรมดาๆ ที่พยายามไขว่คว้าหาความไม่ธรรมดาของชีวิต ด้วยบุคลิคสาวออฟฟิศหน้าตาเรียบๆ คุณสมบัติส่วนตัวและนิสัยใจคอก็ไม่ได้โดดเด่นเกินใคร แต่ชีวิตเธอก็เปลี่ยนไป หลังจากที่เธอได้มีโอกาสได้ชื่นชมภาพวาดชื่อ “รัตติกาลแรก” เมื่อเธอมีโอกาสช่วยเหลือชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งติดอยู่ในแกลเลอรี่เพราะไฟดับ และชายหนุ่มนั้นบังเอิญเป็นผู้วาดภาพนั้น....“ฆ้อน กรรไกร กระดาษ” เคยสร้างความประทับใจมาแล้วจากซีรี่ส์ไต้หวันยอดนิยม เคยฉายในเมืองไทยภายใต้ชื่อ “เกมรักหักเหลี่ยมซี้” ในฉบับซีรี่ส์ย่อมจะมีความแตกต่างจากต้นฉบับดั้งเดิม และ “ฆ้อน กรรไกร กระดาษ” เล่มนี้ ก็จะช่วยเติมเต็มช่องว่างที่ขาดหายไป เพื่อช่วยให้ผู้อ่านได้มีโอกาสสัมผัสเรื่องราวความรักไร้กฏเกณฑ์(แต่ต้องตัดสินใจด้วยเป่ายิ้งฉุบ)อย่างเต็มอิ่มยิ่งขึ้น ก่อนจะปิดหนังสือลงด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มเปี่ยมสุขกันอีกครั้ง - คลิกอ่านรายละเอียด
...............
.........................................................................................
.....................................
............................
幸福來了
ผู้ชายเหมือนระเบิด
[ความสุขกำลังจะมา]
หวงเยวี่ยน : เขียน
อนุรักษ์ กิจไพบูลทวี : แปล
'ปราย พันแสง : คำนิยมชมชื่น
...........
[ผลงานเล่มแรกของหวงเยวี่ยน
โดยฟรีฟอร์มสำนักพิมพ์
-วางจำหน่ายแ้ล้ว]:.
vo.....................
“ผมไม่ใช่คนธรรมดา ผมเป็นลูกระเบิด” ระเบิดลูกนี้ชื่อตัวอักษร ผมใช้ถ้อยคำซื่อตรง บอกเล่าความจริงใจ เหมือนชนวนที่เชื่อมโยงกับวัตถุระเบิด ความรักที่ตราตรึง การผจญภัยที่สดสวย เรื่องราวชวนปลื้ม ปีติระคนเหลือเชื่อกักตุนอยู่เต็มสมอง อัดแน่นเจียนระเบิด รสชาติเข้มข้น ความกดดันไร้ขีดจำกัด จำต้องหาทางระบาย ผมจำเป็นต้องระเบิด กรุณาอย่าเป็นห่วง เมื่อผมแหลกเหลวปี้ป่น ผมจะไม่ทิ้งรอยบาดเจ็บใดๆ ไว้บนตัวคุณเลย ดินระเบิดในตัวผมเป็นจิตวิญญาณ สิ่งเดียวที่จะหวั่นไหวบ้างก็คือหัวใจคุณ นอกนั้นจะไม่มีอะไรแตกสลาย ...แล้วคุณจะลืมผมไม่ลง............ง คลิกอ่านต่อ
..........
คนอ่าน

ซูซาน บอยล์

สู้ สู้! ซูซานบอยล์
ป้าเฉิ่มโลกตะลึง
[ราคาปก 210 บาท]
........
ป้าเฉิ่มซูซาน บอยล์ วัย 48 ปี ผู้ ไม่เคยแต่งงานและไม่เคยจูบกับผู้ชายมาก่อน ปรากฏกายบนเวที Britain’s Got Talent เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2552 กล้องจับภาพกรรมการและผู้ชมแสดงท่าทางเย้ยหยันออกนอกหน้า ก่อนที่ซูซานจะเริ่มร้องเพลง I Dreamed a Dream ซึ่งทำให้ทุกคนอึ้งตะลึงงัน
คลิปวิดีโอการแสดงในวันประกวดของเธอ ถูกโพสต์ลง“ยูทูบ” ทุบสถิติอัตราฮิตเรท หรือจำนวนผู้ชมทะลุ 100 ล้านครั้งในเวลาไม่กี่วัน
“ซูซาน บอยล์” เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับทุกๆ คนที่มีความฝัน” อีแลง เพจ ซูเปอร์สตาร์ นักแสดงละครเวที นักร้องอังกฤษรุ่นลายครามกล่าวไว้อย่างนั้น แม้ว่าท้ายที่สุดแล้ว ซูซาน บอยล์ จะไปไม่ถึงฝั่งฝัน แต่ปรากฏการณ์ซูซาน บอยล์ไม่ใช่เรื่องธรรมดา ชีวิตที่พลิกผันจากดินเป็นดาวเพียงชั่วข้ามคืน อำนาจของ ‘ปากต่อปาก’ ในโลกยุคข้อมูลข่าวสารที่มีอินเตอร์เนตเป็นตัวนำ เรื่องราวชีวิตของเธอถูกสื่อมวลชนล้วงแคะทุกซอกมุม ข่าวคราวไซมอน คาวเวลล์เตรียมจับเธอเซ็นสัญญาเป็นนักร้องในค่ายเพลงของเขา จนถึงข่าวการแปลงโฉมใหม่ของเธอที่ดูดีขึ้น แต่หลายคนต่อต้านเพราะอยากให้เธอขี้เหร่เหมือนเดิมมากว่า(ซะงั้น)
เรื่องราวชีวิตน่าทึ่งของป้าเฉิ่มซูซาน บอยล์ เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น!

ไมเคิล เฟลป์ส

หนังสือที่ทุกครอบครัวควรอ่าน ในการพลิกชีวิต(ติดลบ)
สู่ความเป็นเลิศ ไมเคิล เฟลป์ส
เบื้องลับฮีโร่ แชมป์ 14
เหรียญทองโอลิมปิก เรื่องจริง
ที่โลกไม่เคยรู้
ในเกมชีวิต
สุดทึ่ง! กฤติยา รามโกมุท,
นพดล เวชสวัสดิ์ : แปล [ราคาปก 210 บาท]

จาก “เด็กพิเศษ” สมาธิสั้น ปัญหาเพียบ จากครอบครัวหย่าร้าง ไมเคิล เฟลป์ส พลิกชีวิตติดลบเป็นซูเปอร์เปอร์สตาร์ ฮีโร่นักว่ายน้ำขวัญใจชาวอเมริกัน ทุบสถิติ 8 เหรียญทองอันเหลือเชื่อ จากการแข่งขันโอลิมปิกปักกิ่งในปี 2008 อย่างหมดจดสง่างาม
..........
ใครจะคิดว่า “เด็กพิเศษ” จากครอบครัวหย่าร้าง ประสบปัญหาชีวิตอย่างรุนแรงจากโรคสมาธิสั้น แต่สามารถเรียนรู้ต่อสู้กับโรคร้าย ด้วยวิธีเลี้ยงดูเอาใจใส่สุดพิเศษจากคุณแม่จอมอดทนทรหด ผู้คิดค้นวิธีการเลี้ยงลูกที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร จนกระทั่งเฟลป์สเรียนรู้ที่จะต่อสู้กับโรคร้ายประจำตัว ต่อสู้กับการล้อเลียนเสียดสีจากเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันที่มีวุฒิภาวะสูงกว่า
......................................
ไมเคิล เฟลป์ส์ : เบื้องลับฮีโร่ เปิดเผยทุกรายละเอียดในชีวิตแบบเจาะลึก บันทึกทุกสถิติการแข่งขัน ครบครันด้วยภาพถ่ายที่ไม่เคยเปิดเผยจำนวนมาก วิธีเลี้ยงดูเด็กพิเศษด้วยวิธีการสุดวิเศษ รวมทั้งบทวิเคราะห์เจาะลึกค้นหาคำตอบ ว่าทำไมคนที่มีชีวิตติดลบอย่างเฟลป์ส จึงพุ่งสู่ความรุ่งโรจน์ ประสบความสำเร็จได้ถึงเพียงนี้
...
นี่คือหนังสือที่ทุกครอบครัวควรจะได้อ่าน
รวมทั้งทุกคนที่อยากรู้เบื้องหลังตำนานมีลมหายใจ--- ไมเคิล เฟลป์ส

โดเรียน เงื้อฯ จดหมายรักยาขอบ จดหมายรัก สิในหมึก แมร์ด 3 เล่ม

The Picture
of Dorian Gray ภาพวาด
โดเรียน เกรย์ ออสการ์ ไวลด์ : เขียน
กิตติวรรณ ซิมตระการ
: แปล จิตราภรณ์ วนัสพงศ์: บรรณาธิการ
’ปราย พันแสง : คำนิยมชมชื่น .......................
งานศิลปะชิ้นเยี่ยม!ในรูปแบบนวนิยาย เฉียบคม แสบสันต์ ราวกับเป็นหนังสือรวมฮิตคำคมของออสการ์ ไวลด์ ผลงานนวนิยายเรื่องแรกและเรื่องเดียวในชีวิตของนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าของคำคมและบทละครสำคัญที่ผู้คนมักจะหยิบยกมาเอ่ยอ้างตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ผู้เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์บทเพลงให้แก่คีตกวีมากมาย ผลงานของเขาได้รับการนำมาสร้างเป็นละครเวทีและภาพยนตร์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในปี 2009 จะมีผลงานจากบทประพันธ์ของออสการ์ ไวลด์ถึง 2 เรื่องที่จะเข้าโรงฉาย ได้แก่ ภาพวาดโดเรียน เกรย์ (The Picture of Dorian Gray) โดยมีชื่อภาพยนตร์ว่าโดเรียน เกรย์ (Dorian Gray) นำแสดงโดยมีคอลลิน เฟิร์ธ นักแสดงหนุ่มจาก “ไดอารีของบริดเจต โจนส์” ส่วนในปลายปี 2009 ก็จะมีเรื่อง A Woman of No Importance ออกฉาย โดยมี อแมนดา เซย์ฟรีด จาก Mamma Mia! รับบทนำ (ราคาปก 325 บาท) คลิกอ่านบทแรก,ประวัตินักเขียน-นักแปล และรายละเอียดอื่นๆ เกี่ยวกับ ภาพวาดโดเรียน เกรย์ ทั้งหมด
...........................
..............................
.............................
.............................
.............................
จดหมายรักยาขอบ
เรื่องรักต้องห้ามแต่สุดโรแมนติกของ “ยาขอบ” นักประพันธ์ชั้นครู ที่เคยสร้างผลงานเขียนเขย่าสังคมไทยให้สะท้านสะเทือนประจำยุคสมัย ฝ่ายชายเป็นนักประพันธ์ใหญ่จอมเจ้าชู้ มีภรรยาอยู่แล้วถึง 4 คน แต่ยังสามารถเขียนจดหมายจีบผู้หญิงที่เพิ่งเริ่มแตกเนื้อสาวและอยากเป็นนักเขียนอย่าง “พนิดา” สาวสวยประจำยุคสมัย “จดหมายรักยาขอบ” เป็นหนังสือหายาก เป็นเรื่องรักคลาสสิคที่ตราตรึงใจนักอ่านมายาวนาน สำนักพิมพ์ฟรีฟอร์ม ได้รับอนุญาตจากคุณประกายพฤกษ์ ศรุตานนท์ เจ้าของลิขสิทธิ์หนังสือยาขอบ ให้นำมาจัดพิมพ์ซ้ำอย่างถูกต้อง ในรูปเล่มใหม่ สวยงาม แต่ไม่ได้จัดจ้านจนเกินไปนัก ด้วยฝีมือศิลปินชื่อดัง “โลเล” ทวีศักดิ์ ศรีทองดี (ราคาปก 255 บาท) คลิกอ่านรายละเอียดหนังสือ,คำนิยมยาวจุใจจาก วัฒน์ วรรยางกูร,คำนิยม "เอื้อมไม่ได้แอ้มไม่ถึง"จาก 'ปราย พันแสง และอื่นๆ

...........................

..............................
.............................
.............................
.............................

จดหมายรัก สินในหมึก

พิมพ์ครั้งที่ 5 Love Letters
จดหมายรัก
’ปราย พันแสง
....... “เมื่อยังหนุ่มข้าพเจ้าคิดจะรัก แต่เมื่อย่างเข้าวัยชรา ข้าพเจ้ารักจะคิด” นั่นเป็นคำกล่าวของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ หนึ่งในสุดยอดนักเขียนจดหมายรัก นอกจากนี้ในหนังสือเล่มนี้ ยังมีเรื่องราวชีวิต ความรัก และจดหมายของคนดังและไม่ดังของโลก อาทิ จดหมายรักยาขอบ จดหมายรักไอน์สไตน์ จดหมายรักคาร์ล มาร์กซ์ ฯลฯ เคยฮิตสนั่นลั่นเมืองมาแล้วเมื่อตีพิมพ์เป็นตอนๆ ในนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ โศก ซึ้งเศร้า เข้าข้น หวาน มันส์ จนอ่านแล้วเหมือนจะละลาย รวมถึงจดหมายพิเศษในกล่องข้างใจ ที่ไม่เคยตีพิมพ์ที่ใดมาก่อน (ราคาปก 225 บาท)
...........................
..............................
.............................
.............................
.............................
สินในหมึก
ยาขอบ
...........
เมื่อความรักสอนให้เขียนหนังสือ เคล็ดวิชาการประพันธ์อันเลื่องลือก็หลั่งไหล นี่คือสุดยอดหนังสืออมตะ ยิ่งผ่านกาลเวลา ยิ่งขลังเข้ม และไม่เคยล้าสมัย “สินในหมึก”เป็นหนังสือรวมยุทธวิธีเขียนหนังสือให้ได้อย่างใจ เขียนให้คนติด เขียนให้ขายดี มีคนชื่นชอบโดยทั่วไป ยาขอบไม่เน้นเรื่องพรสวรรค์ คนเราสามารถฝึกปรือให้เก่งขึ้นมาได้ ถ้ามี “ความปลอดโปร่งแห่งอารมณ์” ฯลฯ หนังสือเล่มนี้คัดคำแนะนำเฉพาะหัวกะทิ เป็นธรรมชาติ เป็นสิ่งที่มาจากภายใน มาจากความเป็นมนุษย์ เป็นจริง พิสูจน์ได้ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการฝึกเขียนหนังสือทุกรูปแบบ ไม่ว่าเขียนนวนิยาย เรื่องสั้น บทความ สารคดี เขียนไดอารี่ออนไลน์หรือแม้แต่เขียนบล็อก! (ราคาปก 225 บาท) คลิกอ่านตัวอย่างบางตอน, คำนิยมจาก วัฒน์ วรรลยางกูร : นักเขียนรางวัลศรีบูรพา ปี 2550 และรายละเอียดอื่นๆ เกี่ยวกับหนังสือ"สินในหมึก"ทั้งหมด

ชุดแมร์ด 3 เล่ม

A Year in the Merde
อะ เยียร์ อิน เดอะ แมร์ด
ผ้าขี้ริ้วห่อชา
มนันยา: แปลไปหัวเราะไป

ปฐมบทแห่งนวนิยายแสบสันต์และฮากระจาย ด้วยอารมณ์ขันสุภาพแต่ซาดิสต์แบบหนุ่มอังกฤษหัวใจอินดี้ ว่าด้วยเรื่องราวของพอล เวสต์ หนุ่มลอนดอนที่เดินทางมาปารีสเพื่อบุกเบิกธุรกิจร้านน้ำชาอังกฤษในฝรั่งเศส ด้วยความสับสนทางวัฒนธรรม พอลต้องหารับมือกับ“ฝรั่งเศส”ทุกกระบวนท่า ไม่ว่าจะเป็นวิธีเอาตัวรอดจากการประชุมร่วมกับคนฝรั่งเศส วิธีหาบ้านพักแบบฝรั่งเศส สาวฝรั่งเศส จูบแบบฝรั่งเศส รวมถึงวิธีการสะกดภาษาอังกฤษแบบฝรั่งเซส ฝรั่งเศส ฯลฯ.A Year in the Merde ติดอันดับอินเตอร์เบสต์เซลเลอร์ เป็นหนังสือภาคบังคับที่ต้องมีทุกร้านหนังสือในปารีส (ราคาปก 295 บาท) คลิกอ่านตัวอย่างตอนแรก,ประวัตินักเขียน-นักแปล และรายละเอียดอื่นๆ เกี่ยวกับหนังสือชุดแมร์ดซีรี่ส์ทั้งหมด

...........................

.............................. ............................. ............................. .............................

Merde Actually

แมร์ดแอคชวลลี่

ทุกหัวใจมีแมร์ด

วลัยภรณ์ นาคพันธุ์ :แปล

มนันยา : คำนิยม

หลังจากที่พอลได้เปิดร้านน้ำชาอังกฤษในฝรั่งเศสสมดังความตั้งใจ แต่พอลก็ยังมีคำถามมากมายเกี่ยวกับฝรั่งเศสที่ต้องการคำตอบ เช่นว่า อะไรที่จะทำให้ตำรวจในฝรั่งเศสกลัวที่สุด? ทำไมจึงไม่มีการเตือนบนชายหาดเปลือยกาย, การนอนกับเมียของเจ้านายผิดหรือเปล่า? และที่สำคัญพอลยังคงตามหาสาวฝรั่งเศสที่สมบูรณ์แบบ แต่พอลจะเจอรักแท้ไหม หรือจะจบลงบนกองแมร์ด? การผจญภัยครั้งใหม่ของพอลที่ยังคงสร้างปัญหาระหว่างประเทศแบบสุดฮาอีกเช่นเคย (ราคาปก 325 บาท) คลิกอ่านตัวอย่างตอนแรก,ประวัตินักเขียน-นักแปล และรายละเอียดอื่นๆ เกี่ยวกับหนังสือชุดแมร์ดซีรี่ส์ทั้งหมด

...........................

.......................

...............

.................................................

........................... .............................. ............................. ............................. .............................
Talk to the Snail. ทอล์ค ทู เดอะ สเนล
:กฎแห่งแมร์ด
อธิชา มัญชุนากร กาบูล็อง : แปล
..............................
ทำอย่างไรถึงจะได้รับการบริการดีๆ ในภัตตาคารฝรั่งเศส, เรียนรู้การวางตัวแบบสุภาพและหยาบคายสุดๆ ในเวลาเดียวกัน ค้นพบภาษารัก เซ็กส์ และการสูบบุหรี่ (ไม่จำเป็นต้องเรียงตามลำดับ), วลีที่สำคัญและขำขันฝรั่งเศ๊ส ฝรั่งเศสที่นำมาใช้ได้ในทุกสถานการณ์ พร้อมตัวอย่างไหวพริบเล็กๆน้อยๆที่ใช้ได้ในชีวิตจริง ฯลฯ ทั้งหมดรวมอยู่แล้วในหนังสือเล่มนี้ เหมาะกับคนที่สนใจฝรั่งเศส อยากไปฝรั่งเศส หรือคนที่กลัวทุกอย่างเกี่ยวกับฝรั่งเศส ก็ห้ามพลาดเล่มนี้อย่างเด็ดขาด! (ราคาปก 325 บาท) คลิกอ่านตัวอย่างตอนแรก,ประวัตินักเขียน-นักแปล และรายละเอียดอื่นๆ เกี่ยวกับหนังสือชุดแมร์ดซีรี่ส์ทั้งหมด

ร้านชำ ความลับ

SUICIDE SHOP
ร้านชำสำหรับคนอยากตาย
ฌอง เติลเล่ : เขียน
องอาจ กันใจศักดิ์ : แปล
..... ถ้าคุณชอบครอบครัว Addams Family ถ้าคุณมีทิม เบอร์ตันอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ หนังสือเล่มนี้อาจจะทำให้คุณพบรักใหม่อีกครั้ง ซุยไซด์ช็อป (Suicide Shop) หรือ “ร้านชำสำหรับคนอยากตาย” เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในกิจการร้านค้าเล็กๆ อยู่ในเมืองหนึ่ง ดินแดนซึ่งศาสนาได้เลือนหายไปจากความนึกคิดของผู้คน การฆ่าตัวตายจึงไม่เป็นบาป ไม่ขัดต่อศีลธรรม ณ ที่แห่งนี้กิจการของตระกูลตูวาชกำลังดำเนินไปได้สวย ใครอยากตายได้เลือกตายสมใจ สินค้าในร้านชำแห่งนี้ มีทั้งเชือกแขวนคอ ชุดประกอบพิธีฮาราคีรี ยาพิษหรือแม้แต่ "จูบมรณะ" (ราคาปก 198 บาท) คลิกอ่านรายละเอียด
...................
..........
..........................................................
..................................................
..................................................................
...................................................................
.........................................................
........................................................................
..........................................................
..................................................
..................................................................
...................................................................
.........................................................
........
.........................
ลับในความรัก จิระนันท์ พิตรปรีชา : แปล
พิมพ์ครั้งที่ 3
.... การรักใครสักคนนั้นหมายถึงอะไรกันแน่ ? “คู่สร้างคู่สม” มีจริงหรือไม่ ? ทำไมความหลง จึงไม่ใช่ความรัก ? อะไรคือรัก อย่างไรคือหลง? ทำไมการรักคนเลวจึงเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ? หนังสือเล่มนี้จะช่วยค้นหาความหมายของรักในระดับที่ลึกซึ้งอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน หนังสือเล่มนี้คือของขวัญวาเลนไทน์สำหรับสมอง ..รอถึงวันแห่งความรัก อาจจะสายเกินไป (ราคาปก 198 บาท) คลิกอ่านรายละเอียด

ริต้า ยูบิควิท Child 44 ต้นส้ม

SAINTE RITA เซนต์รีตา ผู้หญิงสีฟ้าครึ้มฝน แคลร์ วัลเนียวิคส์ : เขียน วลัยภรณ์ นาคพันธุ์ : แปลถึงเนื้อถึงกระดูก เซนต์รีตา ผู้หญิงสีฟ้าครึ้มฝน (Sainte Rita, patronne des causes désespérées) เป็นรวมเรื่องสั้นหกเรื่องหกรส ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในภาษาฝรั่งเศส ผลงานรวมเรื่องสั้นเล่มแรกในชีวิตของ แคลร์ วัลเนียวิคซ์ (Claire Wolniewicz) นักเขียนหญิงสาวสวยเชื้อสายโปแลนด์ กำลังมาแรงเป็นที่จับในแวดวงการวรรณกรรมฝรั่งเศสขณะนี้(ราคาปก 155 บาท) คลิกอ่านรายละเอียด .................................................
..
...................................................................
.........................................................
........................................................................
..........................................................
..................................................
..................................................................
...................................................................
.........................................................
UBIQUITE
ผู้ชายครึ่งฝัน
แคลร์ วัลเนียวิคส์ : เขียน
พัชรินทร์ เสี่ยงเทียน : แปล.....
เรื่องราวประหลาดล้ำที่เกิดขึ้นในชีวิตแสนเงียบเหงาของ อดัม โวลลาดิเยร์ พนักงานออฟฟิศหนุ่มผู้เงียบขรึม ที่ไม่เคยตั้งคำถามว่าตัวเองต้องการหรือชอบทำสิ่งใดในชีวิต ทว่ายังสามารถก้าวหน้าในอาชีพจนได้เป็นหัวหน้าฝ่ายบัญชี ตั้งแต่เล็กจนโตอดัมคุ้นเคยกับกรอบเกณฑ์ของครอบครัว เคยชินกับการอยู่ในโอวาท ไม่เคยมีปากเสียงหรือความคิดเห็น จนกระทั่งวันหนึ่ง เกิดเหตุการณ์ประหลาด เมื่อมีคนเข้ามาทักผิดบ่อยๆ ว่าอดัมเป็นคนนั้นคนนี้แทบไม่ซ้ำหน้า เมื่อเขาเริ่มหาวิธีรับมือกับการทักผิด เช่นลองรับสมอ้างไปเรื่อยๆ ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางบุคลิกภาพและอุปนิสัย จากที่เป็นคนเฉิ่มๆ อดัมกลายเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์และเริ่มติดใจรูปแบบชีวิตคนอื่นที่เขาสมอ้างสวมรอยเข้าอย่างจัง (ราคาปก 155 บาท) คลิกอ่านรายละเอียด

.........................................................
........................................................................
..........................................................
..................................................
..................................................................
...................................................................

..........................................................................................................................................

..........................................................
..................................................
..................................................................
...................................................................

.........................................................................

CHILD 44 - รหัสฆาฏ ทอม ร็อบ สมิธ : เขียน สุวัฒน์ หลีเหม : แปล

ตรวจสอบทุกคนที่ไว้ใจ ไม่มีอะไรให้กิน ไม่เหลืออะไรให้รัก ลุ้นระทึกสุดขั้วหัวใจ กับ Child 44 - รหัสฆาฏ สุดยอดนวนิยายทริลเลอร์เรื่องล่าสุดของโลกที่นักอ่านต่างรอคอยและเป็นที่กล่าวขวัญ นวนิยายซึ่งก่อให้เกิดสงครามการประมูลราคาในงาน London Book Fair เมื่อปี 2007 ที่ ยิ่งโด่งดังมากขึ้นเมื่อริดลีย์ สก็อต ผู้กำกับมือรางวัลออสการ์จากภาพยนตร์เรื่อง “Gladiator” และอีกหลายเรื่องในระดับบล็อกบัสเตอร์ (Alien, Blade Runner, Black Hawk Down) ซื้อลิขสิทธิ์เพื่อไปทำเป็นภาพยนตร์และตั้งใจจะกำกับด้วยตนเอง Child 44 ขายลิขสิทธิ์ไปแล้วกว่า 27 ประเทศ (ราคาปก 395 บาท) คลิกอ่านรายละเอียด

..................................................
..................................................................
...................................................................
.........................................................
........................................................................
..........................................................
..................................................
...........................................................................................................
..................................................................
...................................................................
.........................................................
坊っちゃん夏目 漱石
ต้นส้ม น้ำตา พายุ
นัทสึเมะ โซเซกิ
กันฐพงศ์ เจียวก๊ก : แปล .... ห้ามอ่านในที่สาธารณะเพราะคุณอาจจะต้องหัวเราะทั้งน้ำตา"นี่คือการผจญภัย ของคุณหนูจอมซ่าส์ คุณย่าโพสิทีฟ สารพัดวีรกรรม เฉิ่มเบ๊อะแต่โคตรจริงใจ ของเอกบุรุษสุดเพี้ยน ผู้ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร แล้วคุณจะรักนิยายเรื่องนี้ ...เหมือนฉัน" 'ปราย พันแสง (คำนิยมชมชื่น) จากปกหลัง : นวนิยายญี่ปุ่นชั้นเลิศที่ได้รับการกล่าวขวัญไปทั่วโลก ผลงานมาสเตอร์พีซของนัทสิเมะ โซเซกิ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ ด้วยเรื่องราวใสซื่อ โหด มันส์ ฮากระจาย การผจญภัยในโลกมนุษย์บิดๆ เบี้ยวๆ ของคุณหนูขี้วีน จอมเพี้ยน ลูกผู้ดีเก่า ตกกระป๋องและตกกระไดพลอยโจนไปอยู่ในโรงเรียนบ้านนอกคอกนา จึงต้องลุยดะถ้วนหน้า ตั้งแต่อาจารย์ใหญ่ คณะครู นักเรียน ยันนักการภารโรงล้วนแสบซ่าส์ โดยมีคุณย่าโพสิทีฟเป็นแบคอัพ(ราคา 198 บาท) คลิกอ่านรายละเอียด
..........

ปราย พันแสง พ็อคเก็ตบุ๊ค

คาเฟ่เสน่หา 'ปราย พันแสง
ชีวิตก็เหมือนคาเฟ่ริมทางบางครั้งเนืองแน่น บางครั้งอ้างว้างมีคนผ่านมา มีคนผ่านไปใครจดจำ ใครลืมเลือน ย่อมมิใช่เรื่องใหญ่หากช่วงเวลาที่พบกัน ได้เปิดดวงตา เผยดวงใจหมดจดหมดใจ ...แล้วจากกัน.....คาเฟ่เสน่หา(passion cafe')รวมบทความแห่งเสน่หาที่โลดแล่นในวังวนชีวิต มิใช่ความรักอย่างเดียวที่ทำให้คนเราตาบอด แต่ยังมีความปรารถนาลึกลับซ่อนอยู่ลึกเร้นข้างในใจ ดูเหมือนไร้จุดเริ่มต้น ไร้จุดสิ้นสุด แต่กลับฉุดกระชากลากถูความเป็นมนุษย์ของเราจนแทบมิอาจต้านทาน(ราคาปก 198 บาท) คลิกอ่านรายละเอียด
....................................................................................
..........................................................
..........................................................................
..........................................................
..................................................
..................................................................
...................................................................
..........................................................................................................
..................................................................
...................................................................
.............................................................
.................. Highway Blues
สูงต่ำล้วนผ่านตา
'ปราย พันแสง หลังจาก “คาเฟ่เสน่หา” หนังสือรวมบทความชุดแรกของปี 2551 ได้รับการต้อนรับจากนักอ่านเป็นอย่างดี สำนักพิมพ์ฟรีฟอร์ม จึงส่งผลงานชุดใหม่ “สูงต่ำล้วนผ่านตา” รวมบทความชุดที่ 2 ของ ’ปราย พันแสง วางแผงตามมาอย่างต่อเนื่อง "สูงต่ำล้วนผ่านตา" รวมบทความว่าด้วยเรื่องราวสิ่งละเล็กๆ พันละน้อยๆ เกี่ยวกับแง่มุมต่างๆ ของชีวิต ซึ่งเคยตีพิมพ์ตามที่ต่างๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการป่ายปีน การขึ้น การลง ในการเดินทางของชีวิตของคนเราที่มีความหมายกว้างไกล (ราคาปก 198 บาท) คลิกอ่านรายละเอียด

.................................................................................

..........................................................
..................................................
..................................................................
...................................................................

.................................................................

...........

study book ฮารูกิ มูราคามิ ’ปราย พันแสง เขียนอย่างไรให้ขายดีติดเบสท์เซลเลอร์ทั่วโลก ชำแหละคมความคิดและสไตล์การเขียนของ ฮารูกิ มูราคามิ นักเขียนญี่ปุ่นนอกคอก ที่มีผลงานเขียนและงานแปลมากถึง 40 ภาษา กวาดรางวัลมาแล้วมากมาย แถมติดอันดับขายดีหลายล้านเล่มทั่วโลก ว่ากันว่านี่คือนักเขียนรางวัลโนเบลคนต่อไป (ราคาปก 175บาท) คลิกอ่านรายละเอียด
...........................
.........................................................................
..........................................................
.........................................................................
..........................................................
..................................................
..................................................................
...................................................................
...........................................................................................................
..................................................................
...................................................................
.........................................................
............
เรื่องรักใคร่ 'ปราย พันแสง พิมพ์ครั้งที่ 3 .... รวมเรื่องจุ๊กจิ๊กว่าด้วยความรัก หวาน ขม อมหวาน อมเปรี้ยวครบรส ในรูปแบบเรียงความ ภาพยนตร์ ดนตรี เรื่องสั้น บทกวี บทแปล เอสกิโม และอื่นๆ อีกมากมาย “คุณไม่จำเป็นต้องกินคนที่คุณรักนะ จอร์จินา คุณเคยคิดมั้ยว่าการกินเข้าเขาไป มันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของคุณ คุณจะคิดว่า เมื่อคุณกินเขาแล้ว คุณกับเขาจะได้อยู่ร่วมกัน ตลอดไปไม่ได้นะ” จินตนาการ,อาหาร,เซ็กซ์ และวิธีปรุงเนื้อคนรัก “ความรักมากมายนั้นมันไม่จีรังยั่งยืนอะไร มันท่วมท้นล้นใจ แล้วจางหายไปได้อย่างมหัศจรรย์ ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลยฉะนั้น” แล้วเราจะรู้เอง (ราคาปก 175 บาท) คลิกอ่านรายละเอียด
........................
.........................................................................
..........................................................
..................................................
..................................................................
..........................................................................................
..........................................................
..................................................
..................................................................
...................................................................
...........................................................................................................
.........................................................
..........
คนรัก เคยรัก ยังรัก (ดาว)
รวมเรื่องสั้นและบทกวี เคยเป็นหนังสือทำมือชื่อ "ดาว" มาหลายปี ตอนนี้พิมพ์จริงแล้ว เนื้อหาในเล่มว่าด้วยเทหวัตถุโรแมนติกบนท้องฟ้า อันเป็นที่มาของแรงบันดาลใจ ความสุข ความรัก ความเศร้า และเรื่องราวในชีวิตอีกมากหลาย ทุกเรื่องราวในเล่มล้วนแล้วแต่สร้างสรรค์ขึ้นมาจากดวงดาว เนื่องเพราะดาวบางดวง คำบางคำในชีวิตมีความหมาย บางคำหากหลุดจากปากไป อาจทำให้ดาวทุกดวงบนท้องฟ้าหายวับ
จากปกหลัง "กรุงเทพฯ ยังมีดาวนะ ไม่ว่าดาวประจำเมือง หรือดาวประจำวัน แม้แต่ดาวที่เป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญ เรายังเห็นกันได้ในเขตเมืองหลวงนี้ ...ตรงไหนก็มีดาว ถ้าเรามีตาสำหรับมองมัน" "สำหรับบางคน โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ไปอย่างว่างเปล่า ชีวิตเป็นอย่างนี้ ความหมายของมันไม่เคยแน่นอน บางครั้งดูเหมือนเราจะเข้าใจในความเป็นไป แต่บางทีก็ไม่ ความร้ายกาจของมันคือ บางทีคิดว่าเข้าใจ แต่ความจริงอาจจะไม่" "แล้วคุณเชื่อไหม เรื่องที่เขาเล่ากัน ว่าคนสองคนจะรักกันไปจนตาย แล้วคุณรู้ไหม หากจะมีใครรักใครไปจนตายจริงๆ มันจะมีแค่คนเดียวเท่านั้น ...ที่รักไปจนตาย" (ราคาปก 125 บาท)

สวนสวรรค์ที่สาปสูญ

Paradise Lost
สวนสวรรค์ที่สาบสูญ : Jimmy Liao
ชุตินันท์ เอกอุกฤษฎ์กุล :
แปลจากภาษาจีน
'ปราย พันแสง : บรรณาธิการ
.......................................... หนังสือชุดใหม่ของ "จิมมี่ เลี่ยว"ที่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยในปี 2549 จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์นานมี หนังสือชุดนี้ มีด้วยกันทั้งหมดห้าเล่ม มีตัวละครชุดเดียวกัน แต่ละเล่ม สามารถจบได้ในตอน เรื่องราวทั้งหมดในหนังสือชุดนี้น่ารักและมีเสน่ห์ แบบเศร้าๆ เจ็บๆ แปลกๆ ดี Paradise lost เป็นเรื่องราวมิตรภาพความผูกพัน ของสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตจำนวนหนึ่ง มารวมตัวกันอยู่ในดินแดนหนึ่ง ที่พวกเขาทุกคนล้วนเข้าอกเข้าใจกันเป็นอย่างดี แต่ละชีวิต จะมีปมด้อย มีบาดแผล มีความพิการ มีความบกพร่อง ซึ่งโลกภายนอกอาจจะปฏิเสธพวกเขา แต่ในดินแดนแห่งนี้ ทุกชีวิตมีอิสระเสรี และมีผู้ที่เข้าใจกันและกัน
..................................................................
...................................................................
.........................................................
ตัวอย่างตัวละครบางตัว ในเรื่องราวชุดนี้ก็ได้แก่
.........................................................................
..........................................................
..................................................
...
หมีกากบาท หมีกากบาทถูกทำร้ายตั้งแต่เล็ก จึงมีรอยแผลอยู่เต็มตัว หากคุณถามเขาว่าเจ็บตรงไหนที่สุด เขาจะชี้ตรงหัวใจ แม้จะได้รับความทุกข์สาหัส แต่เขาก็เชื่อว่ายังมีแสงสว่าง
..................................................................
...................................................................
.........................................................
ผ้าพันแผล เป็นเด็กชายที่พันผ้าพันแผลทั้งตัว เขามักฝันว่าตัวเองบินได้ และมีผีเสื้อตัวน้อยอยู่เป็นเพื่อนเสมอ
..................................................................
...................................................................
.........................................................
หนูดำ เจ้าของทรมานหนูดำด้วยวิธีต่างๆ นานา แต่หนูดำก็ยังคงมีจิตใจงดงาม ในบางครั้งเจ้าของอุ้มเขาด้วยความทะนุถนอมอยู่บ้าง แต่หนูดำก็อดที่จะหวั่นกลัวไม่ได้
..................................................................
...................................................................
.........................................................
โทนี่หน้าบาก โทนี่เป็นเด็กชายขี้อายเป็นที่สุด เขาเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจ มักจะยืนนิ่งอยู่ข้างหิ้งหนังสือในห้องสมุด เขามีแต่เงาตัวเองในกระจกเป็นเพื่อน
..................................................................
...................................................................
.........................................................
ไข่พะโล้ ไม่ว่าจะทำอะไร ไข่พะโล้จะต้องอธิษฐานต่อพระเจ้าก่อนเสมอ ก่อนข้ามถนน หรือกระทั่งในสวนที่มีดอกไม้บานสะพรั่ง เขาก็ยังอธิษฐาน
..................................................................
...................................................................
.........................................................
จอห์นจมูกแดง เขามักรู้สึกว่าโลกของเขาว่างเปล่า ไม่ว่าจะพยายามเพียงใด สุดท้ายทุกอย่างก็เป็นเพียงความฝัน เขาไม่สามารถอธิบายอะไรให้ใครฟังได้ แต่อย่างน้อย เขาก็รู้สึกสบายใจในโลกอันว่างเปล่าของตัวเอง
..................................................................
...................................................................
.........................................................
จูลี่ เป็นคนที่ขยันโยนขวดบรรจุข้อความที่ชายหาด ให้ลอยไปตามคลื่นอยู่เสมอ เธอวาดฝันว่าจะพบรักจากการทำเช่นนี้ แต่ขวดเหล่านั้นมักถูกคลื่นซัดกลับ
..................................................................
...................................................................
.........................................................
ลูกโป่ง มักลอยไปลอยมาอยู่คนเดียว วันหนึ่งศีรษะของเขาแตกเป็นรู เจ้าหนูลูกโป่งจึงตกลงมาจากฟ้า แต่ไม่นานก็ถูกจับมัดกลับไปแขวนไว้กับต้นไม้
..................................................................
...................................................................
.........................................................
เหิรหาว เหิรหาวเชอบแกล้งผู้อื่น วันวันเอาแต่หาเรื่องทะเลาะ คนอื่นบอกว่าสีดำ เธอจะบอกว่าขาว เธอเกลียดโลกแห่งความเป็นจริง ชื่นชอบโลกที่โกลาหลวุ่นวาย
..................................................................
...................................................................
.........................................................
โทรโข่ง เอาแต่ป่าวประกาศผ่านเครื่องขยายเสียง เที่ยวกระจายข่าวสารไปทั่ว เขาสวมหมวกกันน็อคจึงไม่ได้ยินเลยว่าเสียงไม่ได้ออกจากโทรโข่ง
..................................................................
...................................................................
.........................................................
แมรี่และแมวของเธอ แมรี่เลี้ยงแมวตาโตตัวหนึ่ง แต่ละวันแมวของเธอจะมีมุมมองที่แตกต่างกันไป บางทีรู้สึกหน่าย บางทีรู้สึกเบื่อ บางทีรู้สึกว่าโลกมันน่าขัน
......................................................................
...................................................................
.........................................................
บอลลูน เป็นเด็กฉลาดไอคิวสูง ฉลาดมากเสียจนไม่อยากจะเรียนรู้อะไรทั้งนั้น ทุกคนต่างชื่นชมความฉลาดของเธอ แต่เธอกลับเบื่อที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยคนโง่ ฯลฯ
...................................................................
.........................................................................................................
..................................................
..................................................................
...................................................................
.........................................................
............... Enter Loneliness
Paradise Lost 1 :
เดียวดายในความอ้างว้าง ช้างสีชมพูกับแอ๊ปเปิ้ลสีทอง เป็นตัวละครเปิดเรื่องเข้าสู่สถานที่มหัศจรรย์ ช้างสีชมพูเป็นเพื่อนกับเด็กแว่น ทั้งสองตาบอด มองไม่เห็น แต่ชอบไปยืนรอพระอาทิตย์ขึ้นที่ริมหน้าต่าง ชอบนั่งบนโขดหินริมทะเล เพื่อเฝ้ามองพระจันทร์ ทอแสงสว่างไสวขึ้นมาจากผิวน้ำ ทั้งยังชอบทอดกายนอนหงายบนสนามหญ้าโรงเรียน เพื่อรอคอยดวงดาวเปล่งประกายเต็มฟ้า เด็กแว่นเป็นเจ้าของแว่นตาสายรุ้งแสนสวย เสียดายที่เธอมองไม่เห็น ช้างสีชมพูก็มีแว่นสายรุ้งเช่นกัน เสียดายที่มันก็มองไม่เห็น ทั้งสองมิอาจแลเห็นแว่นตาแสนสวยของกันและกัน แต่ตระหนักดีว่า จิตใจของทั้งสองนั้น ต่างงดงามประหนึ่งสายรุ้ง
..................................................
..................................................................
...................................................................
................................................................................................................
..................................................
..................................................................
...................................................................
.........................................................
Snow Falling in Childhood Paradise Lost 2 :
ความปวดร้าวอันงดงาม ปกเล่มนี้ เป็น เจ้าหมีกากบาท ที่กำลังดุ่มเดินเดียวดายอยู่ในป่า หมีกากบาทโดนทำร้ายมาแต่เล็ก ร่างกายยับเยินด้วยบาดแผล หากคุณถามเขาว่าเจ็บปวดตรงไหนที่สุด เขาจะแตะตรงหัวใจ มีใครบ้างไหมที่ไม่เคยเจ็บปวดมาก่อน เขายืนยันมั่นใจ เจ็บปวดที่สุด ณ จุดใด ต้องทำแผลให้สวยที่สุดตรงจุดนั้น ทุกครั้งที่โดนทำร้าย หมีกากบาทมักซ่อนตัวในสถานที่งดงามที่สุด จินตนาการถึงช่วงเวลาแสนสุข หลังจากหลั่งน้ำตาไม่กี่หยด เขาจะแตะตรงหัวใจแล้วหยุดร้องไห้
.........................................................................
..........................................................
..................................................
.........
..................................................................
...................................................................
..........................................................................................................................
...................................................................
.........................................................
A Mysterious Flower Blooms
Paradise Lost 3:
ดอกไม้แห่งความลับผลิบานแล้ว เป็นดอกไม้แห่งจินตนาการของคนเขียนที่มีครีเอทีฟไอเดียสุดยอด ภาพปกเล่มนี้ ผู้เขียนเลือกตัวละคร“แอนนี่” เป็นตัวเอก ปกสวยจริงๆโดยเฉพาะลวดลายบนต้นไม้ใบไม้ใช้สีเงินสีทองสะท้อนแสงบนพื้นปกสีดำ ลึกลับแบบสไตล์กอธิคนิดๆ วิจิตรตระการตาแบบภารตะหน่อยๆ แปลกตากว่าทุกเล่ม “แอนนี่” เป็นเด็กฉลาดแก่แดดที่สุดในเรื่องราวชุดนี้ แอนนี่รู้จักโลกของผู้ใหญ่เร็วเกินไป เกิดแก่เจ็บตาย เธอเข้าใจทั้งหมด โลกแห่งความจริงของแอนนี่ หมายถึงช่วงเวลาที่เธอได้แสดงละครเท่านั้น
.........................................................................
....................................
..................................................................
...................................................................
..............................................................................................................
..................................................
..................................................................
...................................................................
.........................................................

The Magic Is Gone Paradise Lost 4 อัศจรรย์พลันสลาย เรื่องเริ่มต้นเมื่อเวทย์มนต์เสื่อมสลายไปหมดสิ้น โลกเราไม่มีแล้วความมหัศจรรย์ ไม่มีเรื่องเหลือเชื่ออะไรแล้วทั้งนั้น ตอนแรกยังคิดอยู่เลยว่าทำไมคุณเลี่ยวไม่เอาตอนนี้ไว้เป็นเล่มสุดท้ายของหนังสือชุดนี้... เพราะมันน่าจะเป็นอย่างนั้น แต่พอไปเห็นเล่มสุดท้ายจริงๆ จึงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ คือคุณเลี่ยวเขาคงไม่ใช่คนมองโลกในแง่ร้ายเหมือนเราไง เขาเลยวางเรื่องนี้ไว้กลางๆ :) ภาพปกเล่มนี้เธอชื่อ “ราตรี” คู่กรณีของ“ทิวา”เรื่องราวของกลางคืนและกลางวันที่ต่างกันอย่างเหลือเกิน โลกของราตรีเต็มไปด้วยสีสัน โลกของทิวากลับมีเพียงขาวดำ

..................................................
..................................................................
...................................................................
...................................................................................................
..................................................................
...................................................................
.........................................................
The Lost Miracle
Paradise Lost 5 :
เมื่อปาฏิหาริย์เลือนหาย เด็กน้อยกับสวิงตาข่ายบนปกหนังสือคนนี้ชื่อ “ออทัม” เธอเป็นสมาชิกคนหนึ่งของดินแดนมหัศจรรย์แห่งนี้ ที่พยายามตามจับความฝันของเธอเอง ออทัมเติบโตมากับคุณปู่ พออายุได้หกขวบ คุณปู่มอบสวิงจับผีเสื้อที่คุณปู่ทำเองให้เธอเป็นของขวัญ วันต่อมาคุณปู่เสียชีวิตกะทันหัน คืนนั้นออทัมฝันเห็นคุณปู่ของเธอส่งยิ้มให้ พลางพูดว่า “จับชีวิตที่สวยงามไว้ให้ดี!”เธอตื่นขึ้นมาทั้งน้ำตา กอดของขวัญจากคุณปู่ไว้แน่น แล้วสาบานว่า เธอจะใช้เวลาทั้งชีวิตไล่จับความสวยงามที่ไม่จีรังเอาไว้ให้ได้
..................................................
..................................................................
...................................................................
...........................................................................................................
..................................................
..................................................................
...................................................................
.........................................................
The Blue Stone :
Jimmy Liao ชุตินันท์ เอกอุกฤษฏ์กุล : แปลจากภาษาจีน 'ปราย พันแสง : บรรณาธิการ เป็นหนังสืออีกเล่มของ จิมมี่ เลี่ยว ที่ออกวางจำหน่ายพร้อมกับหนังสือชุด Paradise Lost "โลกเหงาของหินสีฟ้า" เป็นเรื่องราวของหินสีฟ้าก้อนหนึ่ง ที่แตกออกเป็นสองซีก ซีกหนึ่งถูกทิ้งไว้ในป่าลึก อีกซีกหนึ่งถูกพาเข้ามาอยู่ในเมืองใหญ่ แล้วก็ถูกแปรรูป ถูกทำให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทำให้มันเหงาแล้วก็คิดถึงอีกครึ่งที่เหลืออยู่ตลอดเวลา จะว่าไปแล้ว หนังสือเล่มนี้ก็คือ The Missing Piece ของ เชล ซิลเวอร์สไตน์ที่เอามาเขียนใหม่แบบคนตะวันออกดีๆ นี่เอง อาจจะเป็นเพราะจิตวิญญาณแบบเอเชีย ที่เรียกร้องสิ่งต่างๆ จากชีวิตน้อยกว่าคนตะวันตกกระมัง อ่านแล้วจึงรู้สึกว่ามันเป็นความไม่สมบูรณ์แบบที่เจียมเนื้อเจียมตัวดี ถ้าแอบรักใครชอบใคร หนังสือเล่มนี้เหมาะมากที่จะเป็นหนังสือบอกความในใจว่าเรารัก โดยมีหมายเหตุที่มองไม่เห็นว่า รักและคิดถึงนะ แต่ไม่ได้เรียกร้องต้องการอะไรจากเธอเลยนะ เป็นหนังสือที่น่ารักมากๆ
..................................................................
...................................................................
.........................................................
Paradise Lost
สวนสวรรค์ที่สาบสูญ
: Jimmy Liao
.........................................................
The Blue Stone
โลกเหงาของหินสีฟ้า
: Jimmy Liao
..................................................................
...................................................................
.........................................................
ชุตินันท์ เอกอุกฤษฎ์กุล
: แปลจากภาษาจีน 'ปราย พันแสง : บรรณาธิการ
..................................................................
...................................................................
จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์นานมี
สามารถสั่งซื้อได้ที่สำนักพิมพ์ฟรีฟอร์มได้เลยครับ
โทร.0-2664-4256-7,08-5664-9612
เป็นบริการพิเศษ
สำหรับแฟนหนังสือ'ปราย พันแสง ครับ-ค่าส่งฟรี

28

28

27

27

26

26

25

25

24

24

23

23

22

22

21

21

20

20

19

19

18

18

17

18

16

16

15

15

14

14

13

13

12

12

11

11

X8

8

X7

7

X6

6

X5

5

X4

4

X3

3

X2

1

ติดต่อสังซื้อ

● ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ คุณเจี๊ยบ โทร. 08-5664-9612 ● พ็อคเก็ตบุ๊คสำนักพิมพ์ฟรีฟอร์ม วางจำหน่ายที่ร้านนายอินทร์,ร้านซีเอ็ดบุ๊คเซ็นเตอร์,ร้านดอกหญ้า สยามแสควร์ ซอย3, ร้านคิโนะคุนิยะ,ร้าน Sauce Art Literature เอกมัย (Vanilla House), ร้านแพร่พิทยา, ร้านบุ๊คคลับ,ศูนย์หนังสือจุฬาฯ และร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ หาไม่เจอกรุณาสอบถามพนักงาน ● ติดต่อสั่งซื้อโดยตรงได้ที่ สำนักงานฟรีฟอร์ม บริษัท ลมดี จำกัดเลขที่ 22/5 สุขุมวิท 23 คลองเตยเหนือ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110 โทร. 0-2664-4256-7 โทรสาร 0-2664-4259 (เวลาทำการ 09.00 - 17.00 น. หยุดเสาร์-อาทิตย์) และ 08-5664-9612อีเมล:freeformthailand@hotmail.com: ... * คลิกกลับหน้าแรก *คลิกกลับนิตยสารฟรีฟอร์ม *คลิกกลับฟรีฟอร์มพรินติ้งเซอร์วิส *คลิกกลับบล็อก'ปราย พันแสง