หวงเยวี่ยน
จากใจสำนักพิมพ์
คึกคักและอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง หลังจากพ็อตเก็ตบุ๊คเท่ๆ ของฟรีฟอร์มสำนักพิมพ์อย่าง “ผู้ชายเหมือนระเบิด(ความสุขกำลังจะมา)” ผลงานนวนิยายเล่มแรกของ “หวงเหวี่ยน” นักเขียนหนุ่มสุดฮอตของไต้หวัน ที่เราได้จัดพิมพ์นำร่องออกมาแล้ว ทำให้นักอ่านไทยที่เสาะแสวงหารสชาติแปลกใหม่จากโลกการอ่าน หลงใหลการเล่นตลกของโชคชะตาในโลกดิจิตอล ได้รู้สึกจับติตประทับใจไปกับเรื่องราวด้วยเป็นอย่างดี
.........................
มาถึง “ฆ้อน กรรไกร กระดาษ” ผลงานเล่มใหม่ของหวงเยวี่ยนที่คุณกำลังถืออยู่ในมือเล่มนี้ นักเขียนหนุ่มชาวไต้หวันผู้นี้ เลือกจะแนะนำให้เรารู้จักชีวิตของคนตัวเล็กๆ ในสังคม คนธรรมดาๆ ที่ไขว่คว้าหาความไม่ธรรมดาของชีวิต ด้วยเรื่องราวของสาวออฟฟิศหน้าตาเรียบๆ ทั้งคุณสมบัติส่วนตัวและนิสัยใจคอก็ไม่ได้โดดเด่นเกินใคร แต่ชีวิตเธอก็เปลี่ยนไป หลังจากที่เธอได้มีโอกาสได้ชื่นชมภาพวาดชื่อ “รัตติกาลแรก” เมื่อเธอมีโอกาสช่วยเหลือชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งติดอยู่ในแกลเลอรี่เพราะไฟดับ และชายหนุ่มนั้น บังเอิญเป็นผู้วาดภาพนั้นอีกด้วย
......
“ฆ้อน กรรไกร กระดาษ” เป็นเรื่องราวของคนที่อยากออกจากกรงแต่ไม่กล้า อยากมีประสบการณ์ชีวิตตื่นเต้นเร้าใจแปลกใหม่ แต่ก็กลัวผิดพลาดล้มเหลว เมื่อความสับสนลังเลใจมาจนถึงที่สุด จึงจำเป็นต้องตัดสินตัวเองด้วยวิธีการง่ายๆ นั่นคือวัดดวงกับเกม“เป่ายิ้งฉุบ”
.............
“ฆ้อน กรรไกร กระดาษ” เป็นการวัดใจในเกม“เป่ายิ้งฉุบ” คุณจะออกฆ้อน กรรไกร หรือ กระดาษ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ คู่ต่อสู้ของคุณต่างหากที่คุณต้องวัดใจ เป่ายิ้งฉุบเป็นเกมที่มีแค่กติกากับโชคชะตา ไม่มีความเชี่ยวชาญ ไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัว ไม่มีสูตรสำเร็จ หรือกลเม็ดใด โอกาสที่คุณจะชนะเกมได้อย่างแท้จริง ก็คือการอ่านใจฝ่ายตรงข้ามให้ทะลุเท่านั้น
เช่นเดียวกับผลงานการเขียนของ”หวงเหวี่ยน” ที่คาดเดาลำบาก มีตอนจบที่ต้องขบคิดใคร่ครวญมากเท่าใด ก็ยิ่งจับใจผู้อ่านมากขึ้นเท่านั้น
ฟรีฟอร์มสำนักพิมพ์มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้เป็นสื่อกลางนำเสนอความรักร่วมสมัย ซึ่งเคยสร้างความประทับใจมาแล้วจากซีรี่ส์ไต้หวันยอดนิยม และเคยนำมาฉายในประเทศไทยภายใต้ชื่อ “เกมรักหักเหลี่ยมซี้” ในฉบับซีรี่ส์ย่อมจะมีความแตกต่างจากต้นฉบับดั้งเดิมอยู่บ้าง และ “ฆ้อน กรรไกร กระดาษ” เล่มนี้ ก็จะช่วยเติมเต็มช่องว่างที่ขาดหายไป เพื่อช่วยให้ผู้อ่านได้โอกาสสัมผัสเรื่องราวความรักไร้กฏเกณฑ์อย่างเต็มอิ่มยิ่งขึ้น ก่อนจะปิดหนังสือลงด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มเปี่ยมสุขกันอีกครั้ง
ชีวิตคนเรานั้น เมื่อดำเนินไปถึงจุดหนึ่ง ความสามารถหรือโอกาสใดๆ ทางสังคมที่เรามี บางครั้งก็ไม่สามารถตอบโจทย์บางเรื่องในชีวิตให้เราได้ หากชีวิตต้องเผชิญสถานการณ์เช่นนั้น บางทีการเลือกว่าจะออกฆ้อน กรรไกร กระดาษ แบบในเกม “เป่ายิ้งฉุบ” อาจจะมีคำตอบดีๆ ให้คุณบ้างก็ได้ …ขอให้มีความสุขกับการอ่านครับ
ด้วยความจริงใจและปรารถนาดี
ฟรีฟอร์มสำนักพิมพ์
จากใจ"หวงยวี่ยน"
เป่ายิ้งฉุบ พิธีการก้าวสู่อนาคต
ผมคิดว่าตัวผมเอง นับเป็นคนประเภทกระทำการรวดเร็ว บ่อยครั้งเมื่อในหัวสมองผุดความคิดอย่างหนึ่งที่เป็นรูปธรรมขึ้นมา ก็จะเชื่อมั่นว่าผมต้องทำได้สำเร็จ ผมเบื่อการประชุมที่มากความเห็นแต่ไร้ข้อสรุป เกลียดการจะทำอะไรสักอย่างต้องขบคิดครึ่งค่อนวัน กลัวนั่นห่วงนี่ ผูกติดอยู่กับการค้างๆ คาๆ
ผมเชื่อเสมอว่า ทางเลือกมันมีแค่ก้าวตรงไปข้างหน้า กับนอนนิ่งๆ ไม่ต้องทำอะไรเลยเท่านั้น ไม่มีคำว่า รอดูสถานการณ์ก่อน ค่อยว่าอีกที ยิ่งไม่มีการก้าวถอยหลังเด็ดขาด ดังนั้น เรื่องราวที่ทำให้ผมต้องลังเลจึงมีไม่มาก เมื่อใช้คำว่าไม่มาก หมายความว่ามีบ้าง สิ่งที่ทำให้ผมลังเลนั้น มักไม่ใช่เรื่องราวหรือการงาน แต่เป็นผู้คน ที่มีเลือดมีเนื้อและมีความรู้สึก
ผมชอบผู้คน สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนนั้น เป็นศูนย์รวมของอารมณ์ทั้งมวลไว้ในร่างเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นขี้โมโห โลภมาก อิจฉาริษยา พิถีพิถัน ละเอียดถี่ถ้วน อ่อนไหว จิตใจดีงาม... คุณไม่มีวันดูออก เห็นชัด แต่จำต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพวกเขาอย่างเลี่ยงมิได้ เมื่อเจอกับด้านที่อัปลักษณ์ของพวกเขา คุณเคียดแค้นจนอยากจะจับมาถลกหนังแล้วกินเนื้อ เมื่อเจอกับด้านที่อบอุ่นน่ารักของพวกเขา คุณก็เอ็นดูรักใคร่พวกเขาอย่างห้ามตัวเองมิได้
มีแต่คนเท่านั้น ที่ทำให้เจตจำนงอันเข้มแข็งของผมต้องโลเล ยกตัวอย่างเช่น การโต้แย้งกับญาติหรือมิตร มักทำให้ผมเลือกทางไม่ถูก ผมเอาใจใส่ทุกคนที่ผมห่วงใยมาก แต่แม้จะเอาใจใส่ ก็ย่อมหนีไม่พ้นการมีความเห็นต่าง ยามที่ผมไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์มึนตึงกับญาติสนิท สูญเสียมิตรภาพอันดีงาม เมื่อนั้นผมก็จะเสนอให้เป่ายิ้งฉุบ
ฆ้อน กรรไกร กระดาษ คนแพ้ต้องเชื่อฟังคนชนะ กล้าได้ต้องกล้าเสีย เพื่อเราได้เดินเคียงกันไปจนแก่เฒ่า
เพื่อคนที่ผมรัก ผมสามารถปล่อยวางความดื้อรัน ยอมถอยเพื่อส่วนรวม แน่นอน ผมไม่ได้ถอยอย่างไม่มีเงื่อนไข โดยหลักการใหญ่ๆ ก็คือ ทางเลือกที่กำลังตัดสินกันอยู่นี้ ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องบาปบุญคุณโทษ ผิดชอบชั่วดี แม้กระทั่งปัญหาที่ไม่มีวันแก้ไขอยู่แล้ว
มื้อค่ำจะกินข้าว หรือกินก๋วยเตี๋ยว ไม่จำเป็นต้องยืนกระต่ายขาเดียวเสมอ ใครกวาดบ้าน ใครซักผ้า เรื่องอย่างนี้ตกลงกันได้ แต่การเสียเวลาไปถกเถียงว่าจิตมนุษย์นั้นดีหรือชั่ว ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน มนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่ นั่นเป็นเรื่องน่าขันและไม่จำเป็น
ถ้าถึงครานั้น ก็เป่ายิ้งฉุบกันเถอะ! ยุติการโต้เถียงที่ไร้คุณค่า ด้วยเวลาไม่กี่วินาที จากนั้นก็กลับคืนสู่สภาพสงบสุข สมานฉันท์ดังเดิม
เรื่องทุกเรื่องในโลก ตัดสินกันด้วยเกมเด็กเล่นอย่างนี้ได้หมดทุกเรื่องที่ไหนกัน อาจมีคนถามผมเช่นนี้
คุณพูดถูกแล้ว ในโลกนี้มีเรื่องมากมายที่ไม่ใช่เด็กเล่นขายของ อย่างเช่นอาชีพการงาน ความรักและการแต่งงาน แต่เนื่องจากเราจัดการกับมันชุ่ยๆ ไม่ได้ ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่ตัดก็ไม่ขาด ขบก็ไม่แตก ก็ต้องจมปลักอยู่ในโคลนเลนต่อไปเท่านั้น จนต่างฝ่ายต่างขยับตัวไม่ได้ บาดเจ็บกันทั้งสองฝ่ายอย่างนั้นหรือ
ขออภัยที่ผมต้องกล่าวแย้งความคิดเห็นดังกล่าวอย่างหยาบคาย ถ้าจะให้ผมหยุดนิ่งอยู่กับที่แล้วทนทุกข์ทรมาน ผมขอเลือกก้าวเดินออกไปผจญภัยดีกว่า ต่อให้ผลลัพธ์จะยิ่งแย่ไปกว่าเดิม แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ได้แน่อยู่กับที่
ดังนั้น ผมจึงเป่ายิ้งฉุบ
ฆ้อน กรรไกร กระดาษ ถ้าชนะก็ตัดใจให้เด็ดขาด รับรองว่าจะไม่เสียใจภายหลัง ห้ามเปลี่ยนใจ
เหมือนกับนิยายเล่มใหม่ของผมเล่มนี้ บรรดาตัวเอกในเรื่อง ยามที่พวกเขาเจอกับโจทก์ที่เลือกไม่ถูก ก็ตัดสินใจแก้ไขความสัมพันธ์ที่อิรุงตุงนังของพวกเขา ด้วยวิธีเดียวกับผม พวกเขารู้อยู่แก่ใจดีว่ามันไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด แต่ขอเลือกแก้ปัญหา ขอตัดความยุ่งยากแบบม้วนเดียวจบ
ตัวละครในหนังสือ บางคนเสมือนเป็นฆ้อนเหล็กที่แกร่งกล้า ไม่กลัวเกรงคมมีดคมดาบ แต่กลับหลอมละลายโดยง่ายภายใต้การห่อหุ้มที่อ่อนโยน บางคนมีความคมกริบประหนึ่งกรรไกรที่เปล่งประกายเรืองแสง เฉือนผ้าตัดกระดาษให้ขาดวิ่นได้ในพริบตา แต่มิอาจสั่นคลอนความปรารถนาที่เข้มแข็งแกร่งกล้า บางคนเปรียบเสมือนผ้ากระดาษที่อ่อนนุ่ม สามารถห่อมหุ้มทุกสิ่งทุกอย่าง แบกรับภาระที่หนักหนา แต่กลับบอบบางอย่างคาดไม่ถึง รับไม่ได้แม้เพียงคมมีดพาดผ่าน ก็จะถูกบาดเป็นแผลเลือดท่วม
พวกเขาทุกคนกำลังแสวงหาข้อยุติ แสวงหาคำตอบ ไม่ได้กำลังทำร้ายกันและกัน แต่กำลังหาทางออกให้กับอนาคต
ใช่แล้ว เหมือนอย่างที่ผมกล่าวไว้ตั้งแต่ต้น ประเด็นไม่ใช่การแพ้หรือชนะ แต่เป็นเรื่องภายหลังการแพ้ชนะ ทั้งผู้แพ้และผู้ชนะ ต่างก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องไปรับผิดชอบ ก็คือทำให้ตนเองมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเก่า หรืออย่างน้อยก็จงอย่ายืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ยอมไปไหน
รักษากฎกติกาของเกม ไม่ออกอาวุธช้า ไม่แอบเปลี่ยนใจ ไม่ดื้อรั้นแถไถ ยอมรับผลที่ออก อวยพรกันและกัน เพราะว่านี่มิได้เป็นเพียงเกมเด็กเล่นที่เรียบง่าย แต่เป็นพิธีการอันยิ่งใหญ่ ในการก้าวข้ามไปสู่อนาคต
จะจับไม้สั้นไม่ยาวก็ได้ จะเล่นโอเอกซ์ก็ได้ จะนับตัวเลขก็ได้ ขอเพียงสามารถช่วยคุณตัดสินใจ จะใช้วิธีการใด พวกเราก็ควรเปิดใจยอมรับ
****
เนื้อเรื่องในนิยายของผมนั้นมีภูมิหลังที่เป็นเรื่องจริงแทบทั้งนั้น “ผู้ชายเหมือนระเบิด (ความสุขกำลังจะมา)” เป็นคำขอร้องของนักศึกษาขี้เมา “เรื่องรักของเรา” เป็นความรักของเพื่อนข้างกาย ส่วนนิยายเรื่องนี้ล่ะ มีแรงบันดาลใจมาจากไหนหรือ
มันเริ่มจากสมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัย บังเอิญไปนั่งฟังเลกเชอร์วิชา “เศรษฐศาสตร์จุลภาค” คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ผม บังเอิญเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี รูปร่างสูงใหญ่ ตอนที่ทุกคนกำลังรอศาสตราจารย์เดินทางมาถึง โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น เพื่อนนักเรียนฐานะดีคนหนึ่ง โทรศัพท์ข้ามทวีปมาคุยโวโอ้อวดให้ผมฟัง ว่าหลายวันมานี้ เขาได้ความประทับใจมิรู้ลืมแค่ไหน จากพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ อีกทั้งเพื่อเพิ่มดีกรีความอิจฉาตาร้อนของผม เขาพล่ามเล่ารายละเอียดการตกแต่ง ความวิจิตรตระการตาภายในพิพิธภัณฑ์ให้ผมฟังอย่างไม่เสียดายค่าโทรศัพท์ทางไกล
สำหรับนักศึกษาจนๆ ที่ชื่นชอบภาพวาดสีน้ำมัน และเป็นพูดจาเสียงดังอย่างผม ย่อมหลงใหลในสิ่งที่เขาเล่าอย่างชื่นชม จึงอิจฉาตาร้อนดังที่มันต้องการ ถึงขั้นอยากจะสอดมือเข้าไปในเครื่องโทรศัพท์ ทะลุภูเขาและมหาสมุทร ไปโผล่ที่ประเทศฝรั่งเศสแล้วบีบคอของมันไว้แน่นๆ จนกว่ามันจะหายใจไม่ออกแล้วหุบปากเสีย
“อย่าไปเชื่อ เขาโกหก ข้างในไม่ได้เป็นอย่างนี้ซะหน่อย”
เด็กหนุ่มหน้าตาดีได้ยินการสนทนาของผมกับเพื่อน ช่วยเปิดโปงมุสาวาจาของไอ้เพื่อนตัวแสบ ผมลองถามคำถามที่เกี่ยวข้องกับงานศิลปะ ที่เขาเขียนส่งให้ผมทางกระดาษ ปรากฏว่าเพื่อนของผมตอบไม่ได้ พลันรีบวางสายด้วยน้ำเสียงกระอักกระอ่วน
“เมื่อก่อนคุณเรียนวาดภาพสีน้ำมันหรือ”
หลังเลิกเรียน ผมก็ถามเขา เพราะคนทั่วไปไม่น่าจะมีความรู้เรื่องศิลปะได้ยอดเยี่ยมเท่าเขา
“ไม่ใช่ ผมเกลียดการวาดเขียน” เขาทิ้งคำพูดเพียงคำเดียว แล้วก็จากไป
จากนั้นนะหรือ ผมย่อมไม่เชื่อคำพูดบ้าๆ เช่นนั้นของเขาอยู่แล้ว เพราะเมื่อผมได้กลิ่นสีน้ำมันจางๆ จากแขนเสื้อของเขา ผมก็แน่ใจแล้วว่าเขาต้องเป็นคนที่รักการวาดเขียน ผมสืบถามข้อมูลส่วนตัวของเขาจากผู้อื่นอย่างไม่ลดละ และไม่ว่าเขายินดีหรือไม่ก็ตาม นอกจากวิชาบังคับแล้ว ผมจะเข้าเรียนเป็นเพื่อนเขาทุกวัน จนในที่สุดผมก็ค้นพบเรื่องราวที่ซุกซนอยู่ในตัวของเขา และภาพวาดสีน้ำมันแสนสวยผืนหนึ่ง ที่มีมูลค่ามากกว่าที่มันควรมี นั่นก็คือ “รัตติกาลแรก” ในนิยายเล่มนี้ และด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นที่มาของนิยายเล่มนี้ แน่นอน เนื้อหารายละเอียดในนิยาย ได้ผ่านการดัดแปลง ปรับแต่งบางส่วน ด้วยวัตถุประสงค์อย่างเดียวกัน นั่นคือปกป้องบุคคลที่เกี่ยวข้อง
เพื่อเป็นการจำอวดฝีมือการเล่านิยายของผม กรุณาอ่านต่อไป เชื่อว่าคุณต้องพบเจอความลึกซึ้งที่อ้อมค้อม ผมจงใจทำให้มันชวนฝันมากขึ้นเล็กน้อย เพราะว่าตอนจบของเรื่องจริงไม่อิงนิยายเรื่องนี้... เอิ่ม พวกคุณคงไม่มีวันรู้ เพราะว่า ผมมิใจร้ายพูดมันออกมา
คำนำผู้แปล : ฆ้อน กรรไกร กระดาษ
อนุรักษ์ กิจไพบูลทวี
“ฆ้อน กรรไกร กระดาษ” เป็นนิยายเรื่องที่สามของหวงเยวี่ยน และเป็นเรื่องแรกที่ถูกนำไปสร้างเป็นซีรี่ส์ยอดนิยมในไต้หวัน จนได้เข้ามาฉายในประเทศไทย ในชื่อเรื่องภาษาไทยว่า “เกมรักหักเหลี่ยมซี้” ครั้งแรกที่สนใจนิยายเรื่องนี้ สารภาพตามตรงว่าเป็นผลมาจากนิยายสองเรื่องแรกของเขา “ผู้ชายเหมือนระเบิด (ความสุขกำลังจะมา)” และ “เรื่องรักของ ‘เรา’ (all about us)”
ว่ากันว่า หากเราชื่นชอบผลงานของนักเขียนสักคน เมื่อเขามีผลงานใหม่ๆ ออกมา เราก็จะซื้อโดยไม่ลังเล แม้ว่าผมจะไม่ใช่คอนิยายรัก แต่เมื่อเห็นนักเขียนที่เราเชื่อใจมีผลงานใหม่ ก็อุดหนุนทันที รู้เพียงต้องไม่ผิดหวังแน่ๆ แต่ข้อจำกัดของเวลา หลังจากผมแปล “เรื่องรักของเรา” และ “ผู้ชายเหมือนระเบิด (ความสุขกำลังจะมา)” จนจบแล้ว จึงมีเวลาค่อยๆ ละเลียด “ฆ้อน กรรไกร กระดาษ” อย่างจริงจังก่อนลงมือแปล
ความรู้สึกระหว่างการท่องไปในโลกนิยายเรื่องนี้ นั่นคือผมไม่ได้กำลัง “อ่าน” นิยาย แต่กำลัง “ชม” นิยายมากกว่า ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนิยายเรื่องนี้จึงถูกซื้อไปดัดแปลงเป็นละครทีวี เพราะทุกฉาก ทุกตอน ทุกตัวละครในเรื่อง ช่างมีชีวิต จิตใจ วิญญาณจนคล้ายกับออกมากระโดดโลดเต้นอยู่ข้างตัวเราในยามที่เปิดอ่าน บางครั้งยังมีเงาของตัวเรา หรือเงาของเพื่อนเรา หรือเงาของใครอีกหลายคนในชีวิต ทับซ้อนกับเงาของตัวละครในเรื่อง อีกทั้งเนื้อเรื่องที่ยังคงเป็น “หวงเยวี่ยน” ที่สมจริง สมเหตุสมผลและชวนติดตาม อดเดาตอนจบตามแบบฉบับของเราไม่ได้ ทั้งหมดนี้เป็นเสน่ห์ที่ทำให้นิยายเล่มนี้ ถูกจัดไว้ในคอลเลกชั่นวางไม่ลงอีกเรื่องหนึ่ง
อ่านนิยายของหวงเยวี่ยน ไม่ต้องจริงจังกับตอนจบหรอกครับ คนที่เคยอ่าน “เรื่องรักของเรา” “ผู้ชายเหมือนระเบิด (ความสุขกำลังจะมา)” คงทราบกันดี เพราะมีทั้งเดาออก เดาไม่ออก เหมือนใช่แต่ไม่ใช่ แต่แล้วก็ใช่... หรือสุดท้ายก็อาจจะไม่ใช่ จะกี่ตลบก็สุดแท้แต่ ในฐานะผู้อ่านคนหนึ่ง ผมรู้สึกว่า “ทางผ่าน” ตั้งแต่ต้นเรื่อง ที่นำพาไปสู่ตอนจบนั่นต่างหาก คือเสน่ห์ของหวงเยวี่ยน
เพราะมันเป็นนิยายรัก ไม่มีสูตรสำเร็จ ไม่มีถูกหรือผิด “ความรัก” มักมีเรื่องให้ประหลาดใจอยู่เสมอ
ที่สำคัญ “ตอนจบ” ของนิยายหวงเยวี่ยนทุกเรื่อง มันยังไม่จบเสียหน่อย เพราะพระ-นางทุกคนในเรื่อง พวกเขายังคงใช้ชีวิตและต่อยอดนิยายของตนกันต่อไปอย่างแข็งขัน
เหมือนกับผมและคุณ
ผมไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านจะคิดเหมือนผมไหม ถ้าเราคิดต่างกัน แล้วเถียงกันไม่ลง หึหึ มาเป่ายิ้งฉุบกันป่ะล่ะ...
ด้วยความเคารพ
อนุรักษ์ กิจไพบูลทวี
ฆ้อน กรรไกร กระดาษ
บทที่ 1 (ทดลองอ่าน)
รัตติกาลแรกมูลค่าสิบล้าน
ในตู้โชว์กระจกของร้านแกลลอรี่ใจกลางเมืองแห่งหนึ่ง เหนือผืนผ้าต่วนสีน้ำเงินที่ปูอยู่ทั่วพื้น ภาพวาดขนาดใหญ่แผ่นหนึ่งตั้งโชว์อยู่บนชั้นไม้ ข้างในผืนผ้าใบเป็นภาพของหญิงสาวที่สวมชุดเต้นระบำฟลามิงโกสีแดง ใบหน้าของหญิงสาวขาวซีด สองแก้มซูบตอบ เธอใช้เรือนร่างที่ผอมบาง พยายามโยกย้ายส่ายสะโพก ออกแรงขยับจีบกระโปรงบานสะพรั่ง ให้ส่ายไหวอยู่กลางอากาศ แสดงออกถึงพละกำลังและความร้อนแรงที่อัดแน่นอยู่ภายใน แต่เมื่อดูให้ละเอียด ก็เห็นได้ไม่ยากว่า สาวน้อยเธอก้าวย่างอย่างฝืดขัด ระคนกับสีหน้าตื่นตระหนกเพราะกลัวเต้นผิด ริมฝีปากแห้งเป็นขุยของสาวน้อย คาบดอกกุหลาบสีสดไว้ดอกหนึ่ง ดอกกุหลาบเต็มไปด้วยหนามแหลม บริเวณคาบต่อกันของริมฝีปากสาวน้อยกับก้านกุหลาบ มีของเหลวสีแดงซึมออกมา เลือดสดๆ ไหลย้อมอยู่บนริมฝีปากแห้งผากของสาวน้อย ประดุจดั่งลำคลองแห้งขอด ถูกฉีดชุ่มไปด้วยธารน้ำพุอุ่นระอุ ทำให้ผู้เห็นกระหายอยากพุ่งเข้าไปหา ใช้สองมือประคองตักขึ้นมาดื่มชิม
สาวน้อยฝืนยิ้ม ความเจ็บปวดเล็กน้อยกระจายอยู่ริมขอบปาก แม้จะเป็นภาพนิ่งสนิท แต่กลับแสดงการเคลื่อนไหวได้อย่างต่อเนื่องประดุจมีชีวิต หากแม้นตั้งใจเงี่ยหูฟัง ถึงกับได้ยินเสียงดนตรีอันเร่งเร้า และเสียงเคาะจังหวะดังก้องกังวานออกมา
หากจะพูดกันอย่างจริงจัง ภาพวาดผืนนี้ไม่เหมือนภาพวาด กลับเป็นเหมือนละครเพลงที่ฉายอยู่ในโรงภาพยนตร์เสียมากกว่า เนื้อเรื่องคือสาวน้อยนักเต้นคนหนึ่ง ยักคิ้วหลิ่วตาเริงระบำ เสียงย่ำพื้นดังกึกก้องชวนหวั่นไหว ดึงดูดทั้งสายตาและหัวใจของผู้ชมทุกคน เมื่อสอดประสานด้วยสปอตไลท์ ความงดงามในงานศิลป์ก็ยิ่งถูกขับออกมาให้โดดเด่นเกินจะห้ามใจ
ภาพวาดผืนนี้มีชื่อว่า “รัตติกาลแรก” มีคำอธิบายสั้นๆ ว่า “ระบำครั้งแรกของสาวนักเต้นวัยสิบห้าในโรงแรม ขณะกาลราตรีเริ่มปกคลุม”
หน้าชั้นโชว์ภาพมีป้ายบอกราคาสีขาวดำ เขียนตัวเลขอารบิกแปดหลัก 10,000,000 แสดงให้เห็นถึงค่าตัวที่ไม่ธรรมดา พร้อมกับเป็นเครื่องรับประกันว่า มันจะเป็นจุดเด่นในสายตาของผู้คนทั้งหลาย เพราะความงาม เพราะความแพง
ผู้คนที่ต้องเสน่ห์ของภาพวาดผืนนี้มีจำนวนมิใช่น้อย ไม่ว่าจะเป็นชายหญิง แก่หรือเด็ก ยากดีมีจน หนึ่งในผู้คนที่หลงใหลในภาพวาดผืนนี้ที่สุด ได้แก่สาวออฟฟิศคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ในอาคารสำนักงานตรงข้ามกับร้านแกลลอรี่
เธอชื่อเยี่ยตั่วลี่ อายุยี่สิบเก้าปี
เธอเกิดที่โรงพยาบาลจงเหอ พักอยู่ในห้องขนาดสามสิบตารางเมตร ชั้นสี่ของอพาร์ตเมนต์ พ่อเป็นข้าราชการธรรมดา แม่เป็นเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยว มีพี่ชายอายุไล่เลี่ยกันกับน้องสาวที่อายุห่างกันมาก ถือเป็นครอบครัวห้าคนที่แสนจะธรรมดา หากต้องการสรรหาสิ่งของในโลกมนุษย์มาเปรียบเทียบกับคนอย่างพวกเขา ก็เหมือนกับขนมปังปอนด์แถวยาวแถวหนึ่ง ถูกหั่นเป็นแผ่นเท่าๆ กันสิบกว่าแผ่น ทั้งขนาดและรสชาติเหมือนกันหมด ไม่แปลกประหลาด หาได้ไม่ยาก และไม่มีส่วนไหนน่ายกย่องชมเชย
“ธรรมดาก็คือบุญ” หลักการข้อนี้ตั่วลี่เข้าใจดี และเธอก็ถนอมบุญมาก เพียงแค่บางครั้งก็มีบ้างที่นึกเสียดาย พ่อของเธออยากให้เธองดงามดั่งดอกไม้ จึงตั้งชื่อเธอว่าตั่วลี่ เพียงแต่เสียดายว่าแซ่ “เยี่ย” ของเธอที่แปลว่า “ใบไม้” มันกำหนดให้ชีวิตของเธอท้ายสุดเป็นได้แค่ส่วนช่วยขับความเด่นของดอกไม้
หน้าที่ของใบเขียวก็คือยิ่งเยอะยิ่งดี สีเขียวขจีนั้นสดชื่นแต่ดูไร้ตัวตน เหมือนกับตั่วลี่ ไม่สูงไม่อ้วน รูปร่างมีนูนมีเว้าแต่ไม่เด่น เส้นผมไม่ยาวไม่สั้น ผิวสีเหลืองหม่นที่จะดำก็ไม่ดำ ขาวก็ไม่ขาว ใบหน้าไร้ที่ติแต่ก็ไม่มีอะไรให้เอ่ยชม
“ความจริงหน้าตาของคุณก็ไม่แย่ นิสัยก็ไม่เลว” คำเปรียบเปรยลักษณะนี้ มักจะครางหึ่งๆ เป็นระยะๆ อยู่ข้างใบหูของเธอเหมือนเสียงยุงตอม ไม่ว่าผู้พูดจะมีความจริงใจแค่ไหน ตั่วลี่ก็จะจัดกลุ่มพวกเขาเข้าเป็นพวกที่มาแสดงความเวทนาสงสารอย่างขอไปที
หน้าตาไม่แย่ ไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่ก็ยังแย่สินะ
นิสัยไม่เลว ในเมื่อไม่เลว ทำไมไม่พูดออกมาเลยล่ะ ว่าฉันนิสัยดี
สำหรับคำวิจารณ์แบบไม่แสบไม่คันเหล่านี้ ตั่วลี่แสดงความกังขาอยู่ลึกๆ ตลอดมา
บางครั้งเวลาอาบน้ำ เธอจะหยุดอยู่ตรงหน้ากระจก ปล่อยผมที่เปียกชื้น เปิดไหล่ยืนส่องตัวเองอย่างนึกสงสาร มองไปยังหลุมลึกตรงไหปลาร้า กับหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะหายใจ พลางพูดพึมพำกับตัวเองว่า “คุณหนูอย่างฉันนี่ยอดเยี่ยมไปเลย” แต่ความมั่นอกมั่นใจลักษณะนี้ส่วนใหญ่ไม่พ้นข้ามคืน เมื่อตื่นนอนตอนเช้า ก้มมองเครื่องแบบพนักงาน ทรงผมที่มีให้เลือกระหว่างรวบครึ่งหัวกับหางม้า ลิปสติก รองพื้น ถุงน่อง รองเท้าส้นสูง พกตั๋วรถไฟฟ้า ทำงานทุกวันวันละแปดชั่วโมงขึ้นไป ตัวตนที่ซ้ำซากจำเจไม่มีเปลี่ยน ความรู้สึกท้อแท้ก็ไม่วายถาโถมเข้ามาอีกครั้ง
“ตั่วลี่ วันนั้นฉันเจอคนคนหนึ่งในห้างสรรพสินค้า หน้าตาเหมือนเธอเปี๊ยบเลย พอเข้าไปทักถึงรู้ว่าจำผิด ขายหน้าจริงๆ”
“เปล่าหรอก ฉันมันหน้าโหลน่ะ”
“เสี่ยวอี้ว์ เธอมาอยู่นี่ได้ไง ฉันอาเพ่าเพื่อนสมัยม.ปลายของเธอไง ไม่ได้เจอกันตั้งสามสี่ปีได้แล้วมั้ง เธอไม่เปลี่ยนไปเลยนะ”
“ขอโทษค่ะ คุณทักผิดคนแล้ว” เวลาที่อารมณ์ดี เธอจะตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ไม่ใช่ฉัน อย่ามาทำเป็นนับญาติกับคนอื่นไปทั่วได้ไหม” เวลารำคาญใจ เธอก็อารมณ์เสีย ตะเพิดกลับไปเหมือนกัน
รูปร่างหน้าตาที่ไม่ดีเด่น เป็นหนึ่งในเหตุผลที่กวนใจเธอ แต่ไม่ใช่เหตุผลหลัก
สิ่งที่สร้างความรำคาญใจและความสับสนแก่เธอมากที่สุดนั้นอยู่ภายใน คือเธอรังเกียจความธรรมดาและขี้ขลาดของตนเอง
ชีวิตของตั่วลี่ค่อนข้างราบรื่น พ่อแม่รักใคร่กัน พี่น้องก็ปรองดองกัน นับแต่เรียนประถมจนจบมหาวิทยาลัย ระหว่างการเรียน การทำงาน ไม่เคยทำอะไรผิดอย่างมหันต์ สถานะการคบเพื่อนก็ปกติ เรื่องนิสัย สุขเศร้าเหงาทุกข์ ยินดียินร้าย เธอมีครบไม่ขาด บางทีฉลาดบางทีเปิ่นโก๊ะ แม้แต่คำวิจารณ์ของครูอาจารย์เธอ ก็ยังไม่พ้นคำว่า เข้าตามตรอกออกตามประตู
พูดให้น่าฟังก็คือ สุภาพอ่อนโยน น้ำขุ่นไว้ใน น้ำใสไว้นอก พูดให้น่าเกลียดหน่อยก็คือ ขาดอุดมการณ์ น่าเบื่อหน่าย
“เธอไม่ใช่คนที่จะพูดล้อเล่นด้วยได้!” ภาพลักษณ์ของตั่วลี่ที่ทุกคนเห็นคือ เคร่งขรึม เอาการเอางาน “ขี้จุกจิก สาวแก่” ผู้คนที่มีนิสัยหลุดโลก หรือปากไม่มีหูรูด จะวิจารณ์เธอเช่นนี้ อีกทั้งทยอยหลบลี้หนีหน้าเธอ ด้วยความกลัวว่าจะหาเรื่องใส่ตัว
ส่วนเพื่อนสมัยเรียนมหาลัยของเธอ จะจัดกลุ่มให้ตั่วลี่เป็นสาวประเภทกุลสตรี หัวอ่อน ว่านอนสอนง่ายและหัวโบราณ จำได้ว่าเมื่อสมัยเรียนอยู่ปีสอง ขณะที่เธอเป็นฝ่ายขอเลิกกับเพื่อนชายที่คบกันมาสองปี ยังเป็นที่ประหลาดใจของผู้คนมากมาย
“เธอเป็นผู้หญิงประเภทรักเดียวใจเดียว จีรังยั่งยืนไม่ใช่หรือ อย่าปากแข็งไปหน่อยเลยน่า เธอนะถูกเขาทิ้งแต่ไม่กล้าพูดใช่ไหม” เธอถูกตราหน้าเป็นสาวน้อยหน้าอ่อน ที่ยึดมั่นในความรักแบบชั่วฟ้าดินสลายโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ในสายตาของผู้คนทั้งหลาย เธอเป็นผู้หญิงหน้าโง่ประเภทที่ต่อให้ต้องกระโดดลงกองเพลิง สิ้นเนื้อประดาตัว ก็ไม่เสียใจ ขอเพียงเป็นการบูชาความรัก
แต่ตั่วลี่ไม่ใช่ เธอเป็นคนที่แยกแยะความรักและความชังได้อย่างชัดเจน แต่น่าเศร้าที่ไม่ว่าเธอจะโต้แย้งแค่ไหนก็ไม่เป็นผล ภาพลักษณ์ความแข็งกระด้างตามติดตัวเธอตลอดทั้งสี่ปี ทำให้เธอเมื่อคบกับเพื่อนชายก็ไม่กล้าบอกให้ใครรู้ ขี้เกียจเห็นสายตาเวทนาสงสารที่จะส่งมาทางตัวของเธออีก คล้ายกับว่าเธอถูกลิขิตให้เกิดมาระทมทุกข์ ผู้ชายที่พบเจอทุกคนต้องเป็นไอ้สารเลวจอมปลิ้นปล้อน
ตั่วลี่อดทนเพียงพอแล้วและเบื่อหน่ายกับการใช้ชีวิตอยู่ในกรอบที่ผู้อื่นกำหนดให้ ในตัวของเธอมียีนส์ของปลาโลมาที่เชี่ยวชาญการท่องไปในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ขณะที่ตัวของเธอกลับถูกคุมขังให้ว่ายวนอยู่ในอ่างที่ปิดตายอย่างสงบเงียบ
เมื่อยังสาวเธอเคยคิดจะปฏิวัติ ทำเรื่องไร้สาระที่สะเทิ้นฟ้าสะท้านดินสักเรื่อง แต่ห่วงว่าคุณพ่อคุณแม่จะเป็นกังวล อีกทั้งตนเองก็ขี้ขลาดและลังเลจึงล้มเลิก พอออกมาสู่สังคม ไม่มีกำลังวังชา ไม่มีเวลา ทุกวันเหนื่อยจนแทบคลาน แม้แต่พลังงานในการจินตนาการยังถูกริดทอนไม่เหลือ ความคิดจะปลุกปั่นพายุลมฝนนะหรือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เธอเคยพูดกับเพื่อนซี้อี้ว์ชิงว่า “ถ้าฉันไม่ต้องเป็นตัวฉันได้ คงจะเยี่ยมไปเลย ถ้าดีขึ้นกว่านี้ได้ก็ยิ่งดี ไม่งั้นขอให้แย่กว่านี้หน่อยก็ยังดี ขอแค่ไม่ใช่ตัวฉันในตอนนี้”
“เธออ่ะนะ อยู่ในใบบุญแล้วไม่รู้จักถนอม พวกเรานะอยากให้คลื่นลมสงบจะตาย แต่เธอกลับวันทั้งวันคิดแต่จะมุดลงไปในวังน้ำวน” อี้ว์ชิงมีลูกชายหนึ่งลูกสาวหนึ่ง เคยประสบกับปัญหาชีวิตคู่ จึงโหยหาชีวิตที่ราบเรียบเปี่ยมสุข อารมณ์โรแมนติกแบบสาวแรกรุ่นของตั่วลี่ สำหรับเธอแล้วมันเป็นเสมือนน้ำป่าและสัตว์ร้ายที่แสนน่ากลัว มิหนำซ้ำยังเป็นความไร้เดียงสาและโง่เง่าเต่าตุ่น
“ละครน้ำเน่า นิยายรักหวานแหววนะ มันถ่ายกับเขียนขึ้นมาเพื่อหลอกเธอเท่านั้น เด็กโง่เอ้ย ตื่นได้แล้ว! จงรู้จักเอาไว้ ความพอเพียงน่ะรู้ไหม จำไว้ใส่กะโหลกซะ” ว่ากล่าวตักเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็เพื่อไม่อยากให้เพื่อนรักต้องประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ตัวเธอเองก็เป็นตัวอย่างที่โชกเลือดตัวเป็นๆ ให้เห็น แต่งงานกับ “กุมารทอง” แห่งแวดวงการเงินที่ใครๆ ก็อิจฉา ปรากฏว่าผัวเธอกลับหลอกใช้เธอเป็นหัวโขนเที่ยวกู้ยืมเงินไปทั่ว โชคดีที่ไหวตัวทัน มิเช่นนั้นคงต้องเข้าคุกกินข้าวแดงฟรีไปจนชั่วชีวิต
“ฉันไม่อยากให้ชีวิตมันจบลงแค่นี้” ตั่วลี่ย่อมรู้ดีว่า เส้นทางชีวิตของเธอมั่นคงและปลอดภัยที่สุด
“อย่างเธอนะหรือ” อี้ว์ชิงหัวเราะลั่นพลางหันหน้าไปไม่แยแสตั่วลี่ เธอมีเหตุผลในการดูถูกตั่วลี่ เพราะคนที่เห็นเลือดของตัวเองหยดเดียวยังกลัว มีหน้าบอกว่าอยากทดลองมีชีวิตที่ตื่นเต้นแบบบาดเจ็บเจียนตายเหมือนคนอื่นๆ มันเป็นคำพูดละเมอของคนฝันกลางวันชัดๆ
“ขออุบัติเหตุสักเรื่องหรือการผจญภัยอะไรก็ได้หน่อยเถิด” ตั่วลี่มักจะตะโกนบอกความไม่พอใจของตนเองกับท้องฟ้า ความจริงเธอเคยมีโอกาสเปลี่ยนแปลงแบบถอดด้ามครั้งหนึ่ง สามปีก่อน เพื่อนชายที่คบกันอยู่หลายปีเคยชวนเธอไปร่วมผจญภัยในต่างประเทศ
“บ้าหรือเปล่า ฉันยังมีพ่อแม่ ยังมีครอบครัว” เธอปฏิเสธข้อเสนอของแฟนหนุ่มทันที
เธอนึกว่าความสัมพันธ์หลายปีจะฉุดรั้งเขาไว้ แต่เพื่อนชายของเธอสุดท้ายก็ตัดสินใจละทิ้งทุกสิ่ง บินไปผจญภัยในต่างแดน เธอจึงจำยอมต้องห่างกัน เพื่อนชายรับประกันกับเธอว่า ความรักของเขาไม่มีวันจืดจางไปเพราะกาลเวลา แต่จนด้วยเกล้า ที่คนเราสามารถทนต่อการทดสอบด้วยเวลา แต่มิอาจต้านทานความห่างเหินของระยะทาง เพราะถึงอย่างไร ในขอบเขตพื้นที่อันกว้างใหญ่นี้ ไม่ได้มีเธอเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียว ผู้หญิงที่สวยกว่าเธอนั้นมีให้เห็นอยู่ทุกที่ มิหนำซ้ำพวกเธอเหล่านั้นส่วนมากยินดีตอบรับความโรแมนติกของเพื่อนชายเธอ ครึ่งปีต่อมา ความรักของเธอเป็นอันต้องยุติลงเพราะมือที่สาม จิตใจของตั่วลี่บาดเจ็บสาหัส ถึงกับครองตัวเป็นโสดมาจนถึงวันนี้
“จะโทษใคร ก็ต้องโทษตัวฉันเองนะสิ” ตั่วลี่ก็ดื่มเหล้า ซ้ำยังดื่มจนเมามายและร้องห่มร้องไห้
ฉวยโอกาสที่ในออฟฟิศไม่มีใครอยู่เลย เธอซดเบียร์หกกระป๋องในทีเดียว จากนั้นก็ปล่อยโฮจนหนำใจ
“แม่งเอ๊ย คนถ่อยไร้จิตสำนึก ทางที่ดีตายอยู่ต่างประเทศ หัวใจวายคาอกสาวฝรั่งนั่นแหละ ไม่ได้เห็นใจฉันบ้างเลย ถ้าฉันไม่มีภาระไม่มีอะไรต้องห่วง ก็อยากไปเรียนต่างประเทศหรือออกผจญภัยเหมือนกัน แต่ฉันอายุเท่าไหร่เข้าไปแล้ว จะทำตามใจตัวเองอย่างนั้นได้ที่ไหนกัน!” ยิ่งพูดยิ่งโมโห ตั่วลี่หยิบกระป๋องเบียร์เขวี้ยงปาไปนอกหน้าต่างอย่างระบายอารมณ์
หนึ่งกระป๋อง สองกระป๋อง สามกระป๋อง จนกระทั่งได้ยินเสียงกระป๋องตกกระทบกับพื้นระเบิดเสียงลั่น รอจนกระทั่งได้ยินเสียงเบรกกะทันหันของรถราดัง “เอี๊ยด...” สนั่นหวั่นไหว ตามด้วยเสียงชนโครมครามติดต่อกัน เธอจึงหยุดมือ
“ไอ้เวรจัญไรที่ไหนโยนกระป๋องเบียร์ลงมาวะ!?” โยนเพลินไปหน่อย เผลอโยนกระป๋องที่ยังไม่ได้ดื่มลงไปด้วย กระป๋องเบียร์ตกใส่กระจกหน้ารถคันหนึ่ง คนขับเหยียบเบรกกะทันหัน ทำให้รถที่ตามหลังมาชนท้ายสามคันซ้อน ตั่วลี่ผู้เป็นต้นเหตุตัวการได้สติทันที เธอนั่งยองๆ แอบอยู่ใต้หน้าต่าง ก้มหน้าลงเสมอกับขอบหน้าต่าง กลั้นหายใจฟังความคืบหน้าของเหตุการณ์ด้านนอก ด้วยความกลัวเกรงว่าความชั่วของตนจะเปิดเผย แล้วถูกเจ้าของรถทั้งหลายรุมสกรัม
“จะข่มขืนแล้วฆ่าหรือเปล่านะ” อารามตกใจ ความคิดประหลาดหลุดโลกก็ประดังประเดเข้ามา เธอกุมคอเสื้อไว้แน่น ย่อตัวต่ำเอาไว้ตามเดิม พลางค่อยๆ คลานไปถึงประตูออฟฟิศแล้วล็อกอย่างรวดเร็ว ซ้ำยังเข็นเครื่องถ่ายเอกสารขนาดใหญ่กั้นเอาไว้ เพื่อรับรองความปลอดภัยของพรหมจรรย์ตนเอง
ไม่นานนัก ตำรวจจราจร รถลากทั้งหลายก็ทยอยมาถึง หนึ่งชั่วโมงต่อมา รถราบนท้องถนนก็กลับสู่สภาพปกติ เมื่อสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนจากไฟเขียว เหลือง แดงอย่างเป็นจังหวะ กลายเป็นกะพริบไฟเหลืองด้วยจังหวะสม่ำเสมอ นั่นหมายความว่าเป็นเวลาดึกแล้วจริงๆ
ตั่วลี่ชะโงกหน้าออกมาสำรวจดูอีกหลายครั้งอย่างไม่วางใจ จนแน่ใจว่าไม่มีใครดักซุ่มอยู่ข้างทางแล้วจริงๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า...” ปิดล็อกหน้าต่างแน่นหนาแล้วจึงกล้ากุมท้องหัวเราะร่าอยู่ในออฟฟิศที่ปิดตาย ทั้งๆ ที่เพิ่งทำเรื่องที่น่าขายหน้าลงไปแท้ๆ กลับรู้สึกเหมือนความเหงาพุ่งเข้ากระแทกตรงกลางอก พอหน้าอกถูกกระแทกจนเป็นรูโบ๋ อยู่ๆ มันก็เคว้งคว้างโหวงเหวงขึ้นมา น้ำตาที่เพิ่งห้ามเอาไว้ได้บัดนี้พรั่งพรูออกมาเพิ่มเป็นเท่าตัว เพราะตัวคนเดียว ท้ายที่สุดเธอก็ต้องลงเอยเหลือตัวคนเดียว ไม่ว่ามันจะเป็นรอยยิ้มหรือความเศร้า
ฉีดน้ำหอมให้ทั่วห้องเพื่อกลบกลิ่นเบียร์ เช็ดพื้นทำความสะอาด เก็บแฟ้มเอกสารเข้าที่ จัดการเก็บห้องออฟฟิศจนเรียบร้อยตามเดิมแล้ว ตั่วลี่จึงเดินออกไปจากอาคาร สนทนากับเสี่ยวหลิวพนักงานดูแลอาคาร ถึงเรื่องอุบัติเหตุเมื่อครู่อย่างใจเย็น เอ่ยปากตำหนิติเตียนคนถ่อยที่โยนกระป๋องเบียร์มั่วซั่วคนนั้น (ก็คือตัวเองแท้ๆ) กล่าวลากันเสร็จ เธอเดินข้ามทางม้าลาย ชายตามองพื้นถนนที่ยังมีคราบเบียร์ แลบลิ้นทีหนึ่ง เดินตรงไปยังถนนฝั่งตรงข้ามโดยรู้สึกว่าเกือบไปแล้วตรู
ประตูเหล็กของร้านแกลลอรี่ฝั่งตรงข้ามถูกดึงปิดลงมาแล้ว ตู้โชว์ที่ปกติดับไฟมืดสนิท คืนนั้นกลับสว่างไสวอย่างผิดปกติ ตั่วลี่มองจากด้านนอกเข้าไปข้างใน เห็นเจ้าของร้านหญิงกำลังยกภาพสีน้ำมันภาพหนึ่ง ขึ้นตั้งกับชั้นวางหน้าตู้โชว์อย่างระมัดระวัง ปรับมุมองศาที่เหมาะสมที่สุดครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วอยู่ๆ สายตาของพวกเธอสองคนก็ประสานกันเข้าโดยบังเอิญ เจ้าของร้านหญิงส่งยิ้มตามสายอาชีพให้กับเธอเหมือนกับทักทายลูกค้า ตั่วลี่พยักหน้าให้อย่างมีมารยาทเป็นการทักกลับ เนื่องจากการประสานสายตากับเจ้าของร้านหญิง ทำให้ตั่วลี่มีสมาธิมากขึ้น เธอมองเห็นภาพวาดผืนนั้น ภาพวาดสีน้ำมันที่วิจิตรงดงามสะกดเธอไว้ทันที ชายกระโปรงของสาวน้อยที่เริงระบำพันผูกเข้ากับสองขาของเธอ ตรึงให้เธอไม่อาจก้าวเดินจากไปเป็นเวลานาน นับแต่นั้นเป็นต้นมา เธอก็ต้องมนต์เสน่ห์ของ “รัตติกาลแรก” เข้าอย่างจัง
สิ่งที่ตั่วลี่หลงใหลที่สุด คือสาวน้อยคนนั้น ที่สวมชุดเต้นของผู้ใหญ่ ฝืนพาตัวเองโยกย้ายเต้นสเต็ป ชายกระโปรงบานสะพรั่งถูกลากด้วยลมที่แสนหนัก เธอยังสัมผัสได้อีกว่า สีแดงอมชมพูบนใบหน้าของสาวน้อย ไม่ใช่เกิดจากความเขินอายตามธรรมชาติ แต่เกิดจากความเหนื่อยหอบที่ต้องเต้นระบำร้อนแรงเกินกำลังตัว ตั่วลี่ถึงกับได้ยินเสียงครวญครางอ้อนวอนจากสาวน้อยในภาพว่า “ค่ำคืนที่ทุกข์เข็นนี้ เมื่อไหร่จึงจะสิ้นสุด”
และนอกจากภาพวาดแล้ว ตั่วลี่มองเห็นตัวตนของตนเองในชีวิตจริง... เหมือนกับเด็กอายุสิบห้าที่ถูกใส่ไว้ในร่างกายอายุยี่สิบเก้าโดยผิดพลาด หัวใจยังไม่เติบใหญ่ แต่ร่างกายภายนอกนั้นเติบโตเป็นหญิงสาวเต็มตัวแล้ว
แรงบันดาลใจแรกของจิตรกรคืออะไรตั่วลี่ไม่สน เธอใส่อารมณ์ของตนเองลงไปในภาพ ใช้มุมมองของตัวเองเป็นตัวอธิบายสิ่งที่เห็น มีคนถามเธอว่า “คุณไม่รู้จักศิลปะสักหน่อย ทำไมถึงชอบภาพวาดภาพนั้นถึงขนาดนี้”
“รู้สึกเหมือนเกิดกับตัว จึงได้รักมัน” ตั่วลี่คิดว่าการชมภาพกับการอ่านหนังสือนั้นเหมือนกัน สิ่งสำคัญอยู่ที่ความรู้สึกร่วม ไม่ได้เกี่ยวข้องเลยว่า จะต้องมีความรู้เฉพาะทางในด้านนั้นหรือไม่
หลงรักภาพวาดผืนหนึ่ง น่าจะเป็นเรื่องที่บ้าบอที่สุดในชีวิตของตั่วลี่แล้ว นับตั้งแต่แวบแรกที่เห็น “รัตติกาลแรก” เธอก็มักจะหยุดยืนอยู่หน้าตู้กระจกอย่างลืมตัว ความตื่นเต้นยินดีคงอยู่เช่นนี้เป็นเวลาสิบสองเดือนเต็ม ไม่เคยขาดตอน
เวลาเข้างานก็จงใจเดินผ่าน หยุดยืนส่องเข้าไปในประตูกระจก ต้องกล่าวอรุณสวัสดิ์กับสาวน้อยก่อน จึงจะยอมเดินข้ามถนนเข้าบริษัท
ยามพักเที่ยงลงมานั่งอยู่ตรงม้านั่งไม้ที่ตั้งไว้นอกแกลลอรี่ แบ่งปันรสชาติของอาหารกับสาวน้อย ใช้เวลายามเที่ยงไปด้วยกันอย่างเอื่อยเฉื่อย
ดึกดื่นค่ำคืนที่ไร้ผู้คน เธอจะยืนระบายความในใจอยู่หน้าภาพวาด สาวน้อยเป็นเหมือนเพื่อนเก่าแก่ของตั่วลี่ อยู่เป็นเพื่อนเธออย่างสนิทสนมยิ่งกว่าคนในครอบครัว ชั่วโมงโอทีที่ยาวนาน ความอึดอัดในการทำงาน ความเจ็บปวดในชีวิตรัก ชีวิตที่แสนจะน่าเบื่อ ขอแค่ได้ยืนอยู่ตรงหน้าสาวน้อย ความกลัดกลุ้มทุกข์ใจทั้งหมดก็มลายหายสิ้น บ่อยครั้งที่เธอปรบมือพลางส่งเสียงร้องชมเชยฝีมือการเต้นของสาวน้อยอย่างลืมตัวอยู่กลางถนน โดยที่ขณะนั้นท้องถนนกำลังแน่นขนัด รถราขวักไขว่ คุณแม่ที่จูงลูกชายเดินผ่านข้างตัวเธอพอดี เห็นกิริยาท่าทางผิดปกติของตั่วลี่ รีบจูงลูกชายเดินอ้อมทางไกลออกไป โดยไม่ยอมให้ลูกของเธอเฉียดเข้าใกล้คนบ้าอย่างเธอ
“คุณถูกผีเข้าใช่ไหม!” ลู่ซื่อเหายืนมองพฤติกรรมน่าขันของเธอ ตะโกนด่าข้ามมาจากอีกฟากฝั่งของถนนที่ห่างออกไปถึงยี่สิบเมตร ตั่วลี่จึงได้สติ เธอรีบเดินข้ามถนนอย่างรวดเร็วด้วยความอับอายและไม่ปรากฏตัวที่หน้าร้านแกลลอรี่อีกเลยเป็นเวลาหลายวัน
ลู่ซื่อเหา ชายวัยห้าสิบปี ผู้ดูแลสำนักงานการบัญชีชั้นบนของบริษัท ตั่วลี่เคยใช้สิทธิตามตำแหน่งหน้าที่ ลดราคาพิเศษให้เขา หลังจากได้รับสิทธิพิเศษ เขาก็มักจะตามติดเธอแจ ทั้งเลี้ยงข้าวเธอ ให้ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ แม้แต่งานเลี้ยงปีใหม่พนักงานตนเอง ยังเชิญตั่วลี่เป็นแขกพิเศษ จับสลากของรางวัลยังมีส่วนกับเขาด้วย
“ให้คอมมิชชั่นกับคุณเอาไหม” ลู่ซื่อเหาเคยยื่นข้อเสนอ ให้ใช้ประโยชน์จากความไว้วางใจของหัวหน้าเธอ แอบเพิ่มยอดสั่งซื้อ จากนั้นเขาจะเป็นคนออกหน้าตั้งบริษัทให้เช่าเครื่องถ่ายเอกสารเพื่อหากำไร แน่นอนเมื่อได้กำไรก็นำมาแบ่งเท่าๆ กัน ถือเป็นประโยชน์กับตั่วลี่มิใช่น้อย
“ไม่เอา ฉันไม่เคยเอาเงินของคุณ ฉันแค่เอื้อประโยชน์ให้คุณตามสิทธิในหน้าที่เท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรเกินเลย ถ้าจะให้ฉันแอบยักยอกผลประโยชน์ของบริษัทจริงๆ ฉันจะไม่สบายใจ”
“จิตสำนึกมันแข็งนะ มีแต่หมาที่จะเคี้ยวลง” ท่านผู้ตรวจบัญชีหลิวผู้ยิ่งใหญ่สั่งสอนตั่วลี่ ถูกหัวหน้ากดขี่แล้วยังภักดีซื่อสัตย์อย่างไม่ลืมหูลืมตา “คนปัญญาอ่อนที่หัวดื้อสอนไม่ฟัง สมควรตกระกำลำบากเยอะๆ” แต่ถึงอย่างไรเขาก็มีมิตรภาพกับตั่วลี่แล้ว ซ้ำยังมีเรื่องต้องไหว้วานเธอช่วยเหลือ จึงรับปากว่าข้อเสนอของเขามีผลตลอดไป เมื่อไหร่ที่ศีลธรรมประจำใจแบบ “ผิดๆ” ของเธอสูญหายไป ขอให้บอกเขาได้ทุกเมื่อ
เจ้าของร้านแกลลอรี่หญิงปวดหัวอย่างหนักกับตั่วลี่ที่มักจะเวียนวนอยู่หน้าประตูร้าน
สถานที่ทำการค้า แต่มักจะมีใครไม่รู้ยืนถือข้าวกล่อง จ้องสินค้าในร้าน บางทียังพูดพึมพำกับตัวเอง ซ้ำกระโดดโลดเต้นอย่างกับคนบ้าอีกต่างหาก ลูกค้าประจำหลายคนที่ตกใจเพราะตั่วลี่ ขอให้เจ้าของร้านหญิงหาทางแก้ไข ไม่อย่างนั้นตีให้ตายพวกเขาก็ไม่กล้าก้าวเข้าร้านของเธออีกแม้แต่ก้าวเดียว
เจ้าของร้านก็เคยหาทางแก้ปัญหา แต่ตั่วลี่ไม่จี้ไม่ปล้นไม่ลักขโมย ทั้งยังไม่เคยรบกวนลูกค้า จึงหาข้ออ้างในการเรียกรปภ.มาไล่เธอไม่ได้ บริเวณทางเข้าออกก็เป็นพื้นที่สาธารณะ จะเอ่ยปากขอให้เธออย่าเดินผ่านก็ใช่ที่ เคยคิดว่าตัดใจขายภาพให้เธอในราคาถูกๆ แต่ที่ไหนได้ เธอยากจนถึงขนาดขาตั้งยังไม่มีปัญญาซื้อ
“คุณเยี่ยคะ ถ้าคุณทำอย่างนี้ดิฉันทำการค้าลำบากนะคะ” เจ้าของร้านรวบรวมความกล้า เก็บ “รัตติกาลแรก” ออกไปจากตู้โชว์เป็นการขู่ จึงเจรจากับตั่วลี่สำเร็จ
วิธีการนั้นได้ผลมาก กล่าวคือพวกเธอตกลงกันว่า หากตั่วลี่อยากชื่นชมภาพวาดในเวลาทำการของแกลลอรี่ก็ย่อมได้ แต่อนุญาตให้ยืนชมไกลๆ เจ้าของร้านแถมกล้องส่องทางไกลคุณภาพดีตัวหนึ่งให้เธอ เป็นการขอบคุณที่เธอยอมถอยให้
นับแต่นั้นเป็นต้นมา เธอมักใช้เวลาที่ว่างจากการทำงาน เอากล้องส่องทางไกลออกมาส่องภาพจากถนนฝั่งตรงข้าม เนื่องจากประสิทธิภาพในการทำงานของเธอไม่ได้ลดลง หัวหน้าจึงเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ปล่อยให้เธอทำตามใจชอบ
“คนทุกคนมีความนิยมชมชอบของตัวเองเป็นพิเศษกันทั้งนั้น เพียงแต่เธอแสดงมันออกมาอย่างเปิดเผยเท่านั้นเอง” เมื่อเพื่อนร่วมงานต่างแสดงความสงสัย จางฟู่เหลิ่น เพื่อนสนิทในบริษัทของตั่วลี่ ก็ก้าวออกมาช่วยแก้ตัวแทนเธอ เมื่อมีคนปกป้อง คนที่อยากนินทาว่าร้าย ก็ไม่มีข้ออ้างลงมือ
ความจริงตั่วลี่ไม่คิดสนใจเรื่องซุบซิบนินทาไร้สาระเหล่านี้อยู่แล้ว เธอเป็นพนักงานอาวุโสที่สุดของแผนก หลังจากไม่สนใจเรื่องเลื่อนตำแหน่งแล้ว เธอก็ไม่มีจุดอ่อน ไม่ต้องเกรงกลัวอะไร แต่เมื่อมีคนอุตส่าห์ก้าวออกมาช่วยแก้ต่างให้เธอเองโดยไม่ต้องร้องขอ เธอก็ยินดีรับไว้ อย่างน้อยก็ช่วยประหยัดน้ำลายในการอธิบายไม่น้อย “มันช่วยเปลี่ยนชีวิตที่ซ้ำซากจำเจของฉัน และไม่มีความเสี่ยง” ถ้าคนที่ถามเธอเป็นเพื่อนสนิทที่คบหากันนาน กอปรกับน้ำเสียงจริงใจ ตั่วลี่ก็ยินดีตอบกลับอย่างจริงจัง
“มีตัวอย่างอะไรที่เป็นรูปธรรมบ้างไหม” เพื่อนๆ มองไม่เห็นความแตกต่างใดๆ ของตั่วลี่ เพียงแต่รู้สึกว่าเธอทุ่มเทให้กับภาพวาดผืนนั้น ทำให้ออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ น้อยลง ซ้ำกลายเป็นคนเงียบขรึม ปลีกวิเวกยิ่งกว่าเดิม
“สักวันหนึ่ง ปฏิหาริย์ที่เป็นของฉันก็จะมา” สำหรับความห่วงใยที่กรูกระหน่ำเข้าใส่ ตั่วลี่มักจะรับมือแบบขอไปที ความจริงเธอไม่ได้มั่นใจอะไรเลย กับเรื่องอนาคต
จนกระทั่งคืนหนึ่ง พนักงานใหม่คนหนึ่งพิมพ์ข้อมูลของลูกค้าผิด พรีเซนเทชั่นที่ต้องใช้ในวันพรุ่งนี้ก็ทำขาดไปสองหน้า พนักงานคนนี้ทำเท่ปิดมือถือ หนีหายไปตามตัวไม่ได้ ทิ้งแต่ขี้กองโตเอาไว้ รอให้คนอื่นมาเก็บล้าง
ความผิดพลาดที่ใหญ่โตแค่ไหน ท้ายที่สุดมันก็ต้องหาคนรับผิดชอบ คนโสด พูดง่ายและขยันอย่างเธอ จึงกลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งที่หัวหน้ามองเห็น และเตรียมพร้อมในการผลักไสความรับผิดชอบมาใส่ทันที
“มีแต่คุณเท่านั้น ที่ไว้ใจได้” หัวหน้ากล่าวชมเธอต่อหน้าผู้คนทั้งหมด ด้วยน้ำเสียงที่หนักใจ ก่อนที่จะรีบมุ่งหน้าไปกินเลี้ยง กำชับเธอว่าจะต้องทำให้เสร็จภายในคืนนี้ แม้จะไม่พอใจแค่ไหนก็ตามแต่ เมื่อเป็นคำสั่งโดยตรงของหัวหน้า เธอก็จำต้องรับปากทำงานล่วงเวลาอย่างเสียมิได้
“ก็แน่ละสิ ทาสรับใช้ราคาถูกซ้ำยังจอมอึดอย่างเธอ จะไปหาที่ไหนได้อีก” ใครบ้างไม่รู้ว่าหัวหน้ากดขี่เธออยู่ ต่างกล่าวเตือนเธอกันอย่างเปิดเผย ว่าอย่าตามใจหัวหน้าไปเสียทุกเรื่อง
“ช่างเถอะ เพื่อปากเพื่อท้อง ไหนๆ เลิกงานแล้วฉันก็ไม่รู้จะไปไหนอยู่ดี อยู่บริษัทยังช่วยประหยัดค่าแอร์ได้นิดหน่อย อีกอย่างได้ค่าทำงานโอทีนิดหน่อย ก็ไม่ได้ขาดทุนเสียทีเดียว” นั่งเมาท์กับเพื่อนๆ ในห้องกาแฟ ใช้เวลาสามสิบนาทีเมาท์แตกข่าวซุบซิบของทั้งวัน เธอเร่งทุกคนให้รีบเลิกงาน เสร็จแล้วก็ค่อยๆ จัดเรียงเอกสาร เจียดเวลาว่างโทร.สั่งข้าวกล่องมาส่ง เปิดทีวีดูข่าว อิ่มหนำสำราญแล้วก็ฟุบหลับกับโต๊ะครู่หนึ่ง ประมาณสองสามทุ่มจึงเริ่มต้นลงมือเคลียร์งาน
ห้าทุ่มกว่าทำงานเสร็จ เธอก็ยังไม่รีบกลับ เปิดหน้าต่าง ชงชาร้อน นั่งเชยชม “รัตติกาลแรก” อยู่ไกลๆ ผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยตลอดทั้งวัน และถือโอกาสนั่งบ่นความอยุติธรรมที่ตนถูกเลือกปฏิบัติ
“เพราะฉันหัวอ่อน ก็เลยเอาแต่รังแกฉันหรือไง สักวันหนึ่งเถอะ ถ้ายั่วฉันมากเกินไป แม่จะวีนแตก จะเลิกทำให้ดู” คำพูดที่บ่นเพื่อการระบายนั้นไม่มีวันทำจริงหรอก ตั่วลี่ไหนจะต้องจ่ายค่าบ้าน ค่าบัตรเครดิต ไหนจะอายุที่มากขึ้น เศรษฐกิจก็ไม่ดี เธอไม่กล้าพอจะทิ้งอาชีพการงานไปไหน
“Good night ราตรีของฉัน” ทุกครั้งเมื่อเลิกงาน เธอจะกระซิบราตรีสวัสดิ์กับ “รัตติกาลแรก” เสมอ จึงจะเก็บของกลับบ้านอย่างสุขใจ คืนนี้ก็เช่นกัน แต่ปรากฏว่าเพิ่งจะโบกมือลาจากและปิดหน้าต่างลงเท่านั้น ไฟฟ้าของถนนฝั่งตรงข้ามทั้งสายก็ดับพรึ่บ รวมทั้งร้านแกลลอรี่ด้วย ตู้โชว์ที่มีแสงไฟส่องสว่างอยู่ตลอดเวลา บัดนี้อยู่ๆ ก็ดับสนิท ทุกสิ่งกลืนหายไปในความมืด สาวน้อยในภาพวาดก็ถูกกลืนหายไปด้วย เริงระบำที่ไม่เคยขาดตอนบัดนี้ถูกบังคับให้ปิดฉากลงเพราะไฟดับ
มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ ตั่วลี่ร้อนใจมาก เก็บของใช้ส่วนตัวยัดลงกระเป๋าอย่างลวกๆ ก้าวฉับๆ ออกมาอย่างรีบร้อน ทั้งไฟและประตูของออฟฟิศก็ไม่ปิด รีบพุ่งออกไปตรวจดูทันที
ความคิดที่ฟุ้งซ่านอยู่เต็มหัว ช่วยเร่งฝีเท้าของตั่วลี่ให้เร็วขึ้น เพียงสามวินาทีเท่านั้น เธอก็วิ่งจากบันไดชั้นสองมาถึงประตูชั้นหนึ่ง
“คุณเยี่ย วันนี้ดึกเป็นพิเศษนะครับ” เจ้าหน้าที่ดูแลอาคารเสี่ยวหลิวที่คุ้นเคยกันดีกับตั่วลี่พูดว่า “ยังดีนะที่คุณเสร็จงานแล้ว การไฟฟ้าไทเปจะซ่อมบำรุงสายไฟ ตัดไฟถนนฝั่งตรงข้ามก่อน อีกหนึ่งชั่วโมงก็จะเป็นฝั่งเราแล้ว”
ตั่วลี่ที่ในใจห่วงแต่ความปลอดภัยของ “รัตติกาลแรก” เท่านั้น เธอไม่เห็นหัวของเสี่ยวหลิวเลย อีกทั้งไม่ได้ยินคำอธิบายที่เขาพูด วิ่งข้ามถนนไปหยุดตรงหน้าร้านแกลลอรี่ อารามออกแรงมากไป ทั้งตัวของเธอชนเข้ากับประตูเหล็กอย่างแรง ประตูเหล็กส่ายไหวและส่งเสียงดังตามแรงกระแทก ตั่วลี่ไม่สนใจความเจ็บปวดของร่างกาย หยีตาตรวจสอบความปลอดภัยของ “รัตติกาลแรก” ก่อน จากนั้นก็ถอนใจอย่างโล่งอก แล้วจึงพบว่าหัวใจของตนมันเต้นแรงเกินจะรับไหว อีกทั้งหายใจติดขัด เริ่มกระหืดกระหอบ
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” เธอยืนเกาะประตูเหล็ก อาศัยความเย็นจากโลหะ ช่วยลดอุณหภูมิของตัวเอง ตั่วลี่เอ่ยคำกับสาวน้อยอย่างอ่อนโยนว่า “นานๆ จะมีวันหยุดสักที พักผ่อนให้เต็มที่นะจ้ะ” นึกในใจว่าน่าจะไฟตกหรืออะไรทำนองนั้น เมื่อพักสักครู่หนึ่งก็เตรียมจะหมุนตัวจากไป
“ใครอยู่ข้างนอก ช่วยด้วย!” อารามงงงวย ตั่วลี่ยังนึกไปว่าสาวน้อยกำลังคุยกับตน สะดุ้งโหยงพลางถอยกรูดไปข้างหลังหลายก้าว
“ช่วยผมด้วย ผมติดอยู่ในนี้ ช่วยเรียกช่างกุญแจหรือช่วยแจ้งตำรวจก็ได้” ตั้งใจฟังดูอีกที เป็นเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่ง ดังแว่วออกมาจากข้างในแกลลอรี่ เสียงนั้นเลือนรางและแหบพร่าคงเพราะอยู่ไกล แต่ฟังจากน้ำเสียงที่ตื่นตระหนก คาดว่าเขาคงอยู่ในสภาพที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
“คุณไม่มีโทรศัพท์หรือไง หรือว่าไม่มีแขนไม่มีขา” เนื่องจากยังตกใจไม่หาย คำตอบของตั่วลี่จึงชวนกระอักเลือดเหลือหลาย เธอตะโกนตอบกลับเข้าไป โดยเลียนแบบความดังของชายหนุ่ม
“อยู่ๆ ไฟฟ้าก็ดับ ผมพลั้งมือทำกระจกแตกทั้งตู้ ตอนนี้มีแต่เศษแก้วเต็มไปหมด ขยับตัวไม่ได้ โทรศัพท์กับมือถือก็พอดีไม่อยู่กับตัว ทีนี้พอจะช่วยผมได้หรือยัง คุณป้า”
“คุณป้า? คุณเรียกใครกันฮึ ขอความช่วยเหลือคนอื่นนี่ปากเป็นอย่างนี้รึ!”
“งั้นผมเรียกคุณว่าน้องสาวโอเคไหม ขอร้องเหอะ ช่วยผมหน่อย ผมเพิ่งถูกกระจกบาดเท้า เลือดยังไหลไม่หยุดเลย!”
“ก็ได้ เห็นแก่ความน่าสงสาร รอเดี๋ยวนะ ฉันจะโทร.เรียกตำรวจให้”
อารามรีบร้อน ตั่วลี่จำได้ว่าข้างหน้าสามสิบเมตรมีโทรศัพท์สาธารณะอยู่เครื่องหนึ่ง แต่กลับลืมไปว่าออฟฟิศของตนเองก็อยู่แค่ฝั่งตรงข้าม โทรศัพท์มือถือก็อยู่แค่ในกระเป๋า เธอวิ่งตรงไปเรื่อยๆ กดโทรศัพท์ ใช้เวลาอีกพักใหญ่ๆ อธิบายกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าร้านแกลลอรี่อยู่ตรงไหน รอจนกระทั่งวางสาย จึงนึกขึ้นได้ว่า สถานที่ที่ตนพยายามอธิบายอย่างยากลำบากเมื่อครู่นี้ มันคือสถานที่ที่ตนไปกลับทำงานถึงหกปีแล้ว
“คุณตำรวจคะ ฉันนึกออกแล้ว ร้านแกลลอรี่อยูตรงข้ามบริษัทฉันเอง บริษัทของฉันอยู่ที่...” เธอรีบโทร.กลับไปอีกรอบ เพื่อบอกที่อยู่อีกครั้ง
“นี่ ตำรวจบอกว่าอีกสิบนาทีถึง คุณอดทนรอหน่อยนะ” ตั่วลี่ย้อนกลับมาบอกกับชายหนุ่ม
“ขอบคุณครับ คุณน้องสาว” ไม่รู้ทำไม ชายหนุ่มอยู่ๆ ก็เปลี่ยนท่าที กล่าวขอบคุณด้วยเสียงสุภาพ
“คลื่นไส้จริงๆ เรียกฉันว่าคุณป้าเหมือนเดิมก็แล้วกัน” ได้ยินเสียงจากหยาบโลนกลายเป็นอ่อนโยน ตั่วลี่รู้สึกไม่คุ้น ขนลุกซู่ไปทั้งตัว
“คุณป้า คุณยังไม่กลับอีกเหรอ” เมื่อได้ยินเสียงตั่วลี่ตอบกลับ ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง กั้นกลางด้วยความเงียบ น้ำเสียงแบบเดิมก็กลับมา
“ฉันหรือ ไม่เป็นไรหรอก รอตำรวจมาแล้วค่อยกลับก็ได้ เผื่อถ้าคุณเกิดเป็นอะไรขึ้นมาแล้วไม่มีใครช่วย แต่ข้างนอกนี่มันทั้งมืดทั้งเงียบเหงาจริงๆ”
“คิดไม่ถึงแฮะ คุณก็ใจดีเหมือนกัน”
“ไม่ใช่คุณป้าทุกคนต้องใจร้ายไปหมดหรอกนะ คนที่น่ารักน่าเข้าใกล้ก็มี” ตั่วลี่ตอบยิ้มๆ เมื่อยืนจนเมื่อย เธอก็หันหลังพิงประตูเหล็กแล้วนั่งลงคุย “นี่ แผลของคุณเป็นยังไงบ้าง หาทางแคะกระจกที่ฝังอยู่ในเนื้อออกมาก่อนนะ ประเดี๋ยวติดเชื้อแล้วจะเป็นเรื่องใหญ่”
“คุณนี่พูดมากจริงๆ จู้จี้ขี่บ่น สมแล้วที่เป็นคุณป้าแม่ค้าขายผักในตลาด” คงต้องเปรียบเปรยด้วยคำว่า “ใจดีถูกฟ้าผ่า” เพื่ออธิบายสถานะของตั่วลี่ในขณะนี้
“ตามใจปากชั่วๆ ของคุณก็แล้วกัน อยากจะว่ายังไงก็เชิญ ฉันแค่อยากให้คุณรู้ว่าข้างนอกนี้ยังมีคนอยู่” ตั่วลี่รังเกียจการตกอยู่ในภาวะเลวร้ายที่หาใครช่วยไม่ได้ และสิ่งที่ตนรังเกียจ เธอไม่เคยยัดเยียดให้เกิดกับใคร
ตั่วลี่พูดจบ ชายหนุ่มในนั้นอยู่ๆ ก็เงียบหายไปเป็นเวลานาน ท้องถนนกลับมาเงียบสงัดตามเดิม เสียงเดียวที่แว่วมาให้ได้ยิน คือเสียงรถราไม่กี่คันที่โฉบเฉี่ยวอยู่บนถนนกับเสียงหมาเห่าหอนเป็นระยะๆ
“นี่ คุณไม่เป็นไรใช่ไหม นี่ ได้ยินเสียงฉันก็ตอบกลับมาหน่อย คุณป้าเรียกหนูน้อยทราบแล้วเปลี่ยน นี่... อย่าหลอกฉันสิ!”
ด้วยความเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของชายหนุ่ม ตั่วลี่แหกปากเรียก ไม่มีเสียงตอบรับ เธอเคาะประตูเหล็ก ส่งเสียงรกหูดังลั่น
“คนตายก็ถูกปลุกจนตื่นแล้ว ผมยังสบายดีอยู่ ยังไม่ม่องเท่ง” ชายหนุ่มตอบอย่างรำคาญใจ
“แล้วทำไมคุณไม่ตอบล่ะ”
“งี่เง่า ผมกำลังเคลิบเคลิ้มอยู่กับอ้อมกอดของเสียงร้องจากคุณนะสิ” ชายหนุ่มตำหนิเธอที่ช่างไม่รู้ใจ แต่น้ำเสียงกลั้วหัวเราะนั้น ทำให้ประโยคที่ดูเหมือนจะชวนซึ้งกินใจ ฟังดูเหมือนคำพูดตลกลามปาม
“ตายแล้ว คุณเสียเลือดมากจนสมองสร้างภาพหลอน อดทนไว้นะ ฉันจะไปโทรศัพท์อีกรอบ” อารามสงสัยว่าชายหนุ่มจะบาดเจ็บสาหัส ทำให้พูดจาเลอะเทอะเพ้อเจ้อ ตั่วลี่ดันตัวลุกขี้นยืน พลิกหาเหรียญเงินในกระเป๋า พลางเตือนตัวเองว่า นอกจากโทร.เร่งตำรวจแล้ว อย่าลืมขอรถพยาบาลด้วย
“ยายเฒ่า ผมละยอมแพ้คุณจริงๆ คุณนี่คงไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน หรือไม่ก็แต่งงานแบบพ่อแม่จับคลุมถุงชน” เสียอารมณ์ที่ตั่วลี่ไม่รับน้ำใจ จึงลบหลู่เธอต่อด้วยคำพูด พฤติกรรมของชายหนุ่ม เป็นอาการโมโหเพราะความอับอายโดยแท้
ชายหนุ่มพูดไม่ทันขาดคำ เสียงรถตำรวจก็ดังแว่วมา ค่อยๆ ขับมาใกล้แกลลอรี่ เมื่อตั่วลี่ส่งสัญญาณให้ รถตำรวจก็จอดลงตรงข้างทาง
“นี่ ตำรวจมาแล้วนะ คุณอย่าซื่อบื้อเรียกพวกเขาว่าคุณลุงล่ะ ไม่ใช่ใครๆ ก็รังแกได้ง่ายๆ เหมือนฉันหรอกนะ อย่าหาเหาใส่หัว เตือนไว้ก่อน ฉันไปละ”
“คุณป้า คุณชื่ออะไร พักอยู่ที่ไหน”
“ทำไมฉันต้องบอกคุณด้วย ไม่เคยได้ยินคำว่าปิดทองหลังพระ ทำดีไม่ให้ใครรู้หรือ แปลกจริง ใครที่เคยเรียนประถมก็ต้องรู้จักคำนี้ หรือว่าคุณจะเรียนไม่จบประถม” ตั่วลี่กล่าวลากับชายหนุ่มยิ้มๆ เล่าเหตุการณ์ภายในร้านและอาการของชายหนุ่มให้เจ้าหน้าที่ตำรวจฟังคร่าวๆ จากนั้นก็เหลือบมอง “รัตติกาลแรก” อีกครั้ง จึงโบกเรียกรถแท็กซี่ แล้วจากไปอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
“คุณป้า...” คล้ายกับว่าเสียงกระเซ้าเย้าแหย่ของชายหนุ่มยังแว่วดังอยู่ข้างหู
นับตั้งแต่สมัยเรียน หลายปีแล้วที่ไม่ได้เถียงกับคนอื่นอย่างนี้ ตั่วลี่รู้สึกคุ้นเคย คิดถึง ถึงขั้นยังไม่สาแก่ใจเสียด้วยซ้ำ “รัตติกาลแรก” ปลอดภัยไร้กังวล ส่วนตนเองก็ได้ทำความดีอีกเรื่องหนึ่ง ขณะนั่งอยู่บนรถแท็กซี่ ตั่วลี่หลับตาพริ้มอย่างเป็นสุข ย้อนคิดถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เผลอแป๊บเดียวก็หลุดกลับไปยังอดีตที่ผ่านไปนานมากๆ เธอเผยอยิ้มที่มุมปาก เสียงบรรยายสภาพการจราจรทางวิทยุที่ปกติหนวกหูชวนรำคาญใจ บัดนี้ก็ตลกขบขันชวนสนุกสนานไปด้วย
“เงียบสงบ สุขสบาย คืนนี้น่าจะหลับฝันดีมั้ง” ตั่วลี่เชื่อในใจลึกๆ ว่า คืนนี้จะนอนหลับรวดเดียวถึงเช้า
สัญชาตญาณของตั่วลี่แม่นยำที่สุด เธอนอนหลับฝันหวานยิ่งกว่าที่ตัวเองคาดคิด ถึงกับไม่อยากลืมตาตื่น พอตื่นขึ้นมาอู้โน่นอู้นี่ กว่าจะมาถึงบริษัทก็สายไปสิบนาที แต่ผู้ที่เข้ามาต้อนรับความสดชื่นของตั่วลี่ขณะนี้ กลับเป็นคำตวาดว้าดแว้ดของหัวหน้า จ้าวเหลียงต้ง
“เพราะค่าน้ำค่าไฟบริษัทเป็นคนจ่าย ก็เลยใช้สุรุ่ยสุร่ายได้ตามใจใช่ไหม ประตูก็ไม่ปิด ถ้าขโมยเข้ามาขนของเกลี้ยงคุณรับผิดชอบไหวหรือ”
จ้าวเหลียงต้งด่าเธอต่อหน้าผู้คน น้ำลายแตกฟอง ตั่วลี่ก้มหน้าก้มตา รับฟังเงียบกริบไม่โต้แย้ง
เป็นลูกน้องของจ้าวเหลียงต้งหลายปี เธอรู้จักนิสัยของเขาดี เขาเริ่มจากอาศัยเธอเป็นตัวเปิดเรื่อง ใช้เป็นบทเรียนเชือดไก่ให้ลิงดู บ่นเธอจบก็จะเริ่มขุดคุ้ยข้อบกพร่องของคนอื่นที่เหลือขึ้นมาบ่นทีละเรื่อง จากนั้นก็จะตบท้ายด้วยอัตชีวประวัติสุดวิเศษของตนเอง ว่าเริ่มต้นทำงานบริษัทโดยเรียนหนังสือไปด้วย ปากกัดตีนถีบดิ้นรนสู้ชีวิตอย่างนั้นอย่างนี้
รอจนกระทั่งไดอาล็อกบังคับสุดคลาสสิกโพล่งขึ้น “ผมเป็นคนพูดตรงๆ อย่างนี้แหละ ถ้าฟังแล้วขัดหูก็ทำเรื่องย้ายแผนกหรือไม่ก็ลาออกซะ ผมชูสองมือเห็นชอบ วันหลังจะได้ไม่ต้องมาโทษว่าผมทำพวกคุณเสียเวลาเสียอนาคต” นั่นหมายความว่าเวลาแห่งการให้โอวาทใกล้จะจบแล้ว
“อีกประมาณสามนาที” ตั่วลี่แอบมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ข้างฝา เตรียมเรียกวิญญาณที่ปล่อยออกไปเที่ยวกลับเข้าร่าง “ขอบคุณค่ะผู้จัดการ ทีหลังฉันจะไม่ทำอีกแล้วค่ะ” ได้เวลาเงยหน้าขึ้นมาตอบสนองการกัดแขวะกระแหนะกระแหนเหน็บแนมของจ้าวเหลียงต้งเสียที แต่คราวนี้กลับมีคนชิงตัดหน้า
“ผู้จัดการอย่าโกรธเลยค่ะ สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง รุ่นพี่ก็ไม่ได้ตั้งใจ เห็นแก่หน้าของหนู คราวนี้ยกโทษให้เขาเถอะนะคะ” คนที่ออกหน้าขอร้องคือหยางเจียซาน ก็คือต้นเหตุตัวการที่ทำให้ตั่วลี่ต้องอยู่ทำโอทีเมื่อคืนนี้ น้ำเสียงที่จงใจลดเบาลง หางเสียงยกสูง แหลมเล็ก ออเซาะ สีหน้าสบายใจประหนึ่งว่าตนไม่เกี่ยว
เพิ่งจบปริญญาตรี อายุน้อยหน้าตาสะสวย รูปร่างดี รู้จักออดอ้อน ใช้ต้นทุนของลูกผู้หญิงอย่างใจกว้าง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอาวุธสุดยอดพิฆาตผู้ชาย เหลือแหล่ถมเถเมื่อใช้รับมือกับชายวัยกลางคน หัวล้านนิดๆ ใฝ่กามารมณ์อย่างจ้าวเหลียงต้ง
“เห็นแก่เจียซานช่วยรับหน้าให้ ไม่งั้นคุณได้เจอดีแน่ๆ”
“เจียซานอ่อนโยน เจียซานจิตใจดี ชงชาก็ข้นหอมกว่าใคร” จ้าวเหลียงต้งไล่ตั่วลี่ออกไป นั่งลงกับที่ลิ้มชิมชาส่วนตัวที่หยางเจียซานชงมาเสิร์ฟ เอ่ยคำชมเชยเสียงดังประหนึ่งเกรงว่าจะมีคนไม่ได้ยิน
“นายหมูบ้านั่น เห็นผู้หญิงที่ไหนใส่เปิดสักหน่อย น้ำลายก็ไหลย้อยถึงพื้นแล้ว”
“กินชาหรือ ฉันว่าเขาอยากกินนมซะมากกว่า ตานี่จ้องแต่ร่องลึกที่หน้าอกของหยางเจียซานไม่กะพริบ คงอยากจะมุดหน้าลงไปล้างหน้าล้างตาเต็มแก่แน่ๆ”
เวลาพักกลางวัน เพื่อนร่วมงานผู้หญิงหลายคนลากตั่วลี่ออกไปกินข้าวในร้านใกล้ๆ บริษัท พลางรุมกันก่นด่าผู้จัดการจอมลามก ต่อจากนั้นก็ย่อมต้องตามนินทานางปีศาจจิ้งจอกในสายตาของพวกเธอหยางเจียซาน ผู้นำการจู่โจมได้แก่ซิ่วเหวิน เจียซิน ส่วนคนอื่นๆ ทำหน้าที่เป็นลูกคู่สอดประสานคอยรับคำตามธรรมเนียม
“แม้แต่นายหัวล้านตัวเหม็นนั่นยังเอา ยายนี่ก็มักง่ายจริงๆ ขอแค่เป็นผู้ชายแม่เอาได้หมด”
“ลูกสาวคนรวยจะมาเบียดในศาลเจ้าเล็กๆ กับพวกเราทำไมกันนะ ดูที่เธอใส่ ที่เธอใช้ ทุกอย่างมีชิ้นไหนไม่แพงกว่าเงินเดือนทั้งเดือนของเราบ้าง โชคดีขนาดนั้น เรื่องอะไรต้องมานั่งอยู่ในออฟฟิศเดียวกับสามัญชนอย่างเราด้วย ไม่รู้สึกอัปยศอดสูบ้างเลยหรือไง”
“ได้ยินว่าเธอเป็นเมียเก็บตั้งแต่เข้ามหา’ลัยแล้ว ลูกสาวคนรวยนะเป็นเรื่องแต่งที่เธอโม้เอาเอง”
ซิ่วเหวิน เจียซินผลัดกันโจมตีขั้นทำลายล้างต่อหยางเจียซานกันคนละคำสองคำ แสดงความรังเกียจเดียจฉันท์ ประหนึ่งว่าเธอเป็นศัตรูคู่อาฆาต คนฆ่าพ่อแม่ของตน จะต้องจับมาแล่เนื้อเถือหนังให้ด่าวดิ้น แต่ว่าในยามปกติเวลาอยู่ในบริษัท คนที่คุยได้ดีกับหยางเจียซานที่สุด ก็คือเธอสองคน
มองอย่างเป็นกลางแล้ว พฤติกรรมต่างๆ ของเจียซานนั้นชวนรังเกียจจริงๆ เพิ่งเข้าบริษัทใหม่ๆ อาศัยข้อได้เปรียบที่เจ้านายและเพื่อนร่วมงานชายชื่นชอบ เข้างานสาย เลิกงานก่อนตามใจชอบ ผลักไสความรับผิดชอบอย่างเปิดเผย แนวคิดที่ไร้จริยธรรม เอาแต่ใจตนเอง ไม่สนใจรุ่นพี่สั่งงาน ในฐานะที่ทุกคนต่างก็เป็นพนักงานกินเงินเดือนเท่ากัน มันน่ารังเกียจจริงๆ
ตั่วลี่สามารถทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นพฤติกรรมเลวร้ายของเจียซาน เธอเชื่อว่าคนเราต่อให้เลวร้ายแค่ไหน ตราบใดที่ไม่ได้ล่วงเกินถึงตนอย่างเจตนาร้าย เธอยอมเลือกทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ บางทีซุบซิบนินทาตามน้ำไปกับเพื่อนๆ บ้าง เท่านั้นก็พอแล้ว
แต่สำหรับเจียซาน ตั่วลี่พบว่าตนเองมีความขัดแย้งทางกายภาพขั้นรุนแรงกับเธอ
พอเจียซานเข้าใกล้ตั่วลี่ อาการคลื่นเหียน เวียนหัว มวนท้องก็จะทยอยเกิดขึ้นทันที พอเจียซานเรียกเธออย่างสนิทสนมว่า “รุ่นพี่” แตะตัวเธอเบาๆ ต่อให้เป็นการแตะโดนหลังมือแบบไม่ได้ตั้งใจ ก็จะทำให้เธอมือไม้เย็น หมดเรี่ยวหมดแรง ทั้งนี้ การเจอผีหรือต้องคำสาป ก็คงมีอาการไม่เกินนี้
หมอบอกกับตั่วลี่ว่า “การกีดกันทางจิตก่อให้เกิดอุปสรรคทางร่างกาย ถือเป็นเรื่องปกติ ดูท่าคุณจะเกลียดเธอมากๆ”
“ไม่นะ วันแรกที่เธอเข้ามาทำงาน ยังไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ แค่ยิ้มให้ฉัน ฉันก็รู้สึกเหมือนมีลมหนาววูบผ่าน เสียวสันหลังวาบ ต่อมาอาการก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นสุดจะต้านทาน” ไม่ว่าตั่วลี่จะพยายามโต้แย้งแค่ไหน ว่าตนไม่ได้มีอคติใดๆ กับเจียซาน คุณหมอก็แค่ยิ้มๆ สั่งให้เธอพยายามปล่อยวางบ้าง ฝึกเปิดใจเข้าหาเจียซาน ซึ่งเป็นความจริงที่มิอาจเปลี่ยนแปลง
“ฉันไม่ได้โกหกจริงๆ นะคะ เฮ้อ ช่างมันเถอะ” อารามเกรงว่าคุณหมอจะสงสัยว่าเธอบ้า แล้วบังคับให้เธอไปรักษาตัวในแผนกประสาทเสียเปล่าๆ ตั่วลี่ไม่กล้ายืนกรานความคิดเห็นของตัวเองต่อ
“อยู่ให้ห่างได้แค่ไหน ก็เอาแค่นั้น” เพื่อรักษาสุขภาพร่างกายของตัวเอง จึงสร้างกฎขึ้นมาว่า หนีได้ให้หนี หนีไม่ได้ก็ทำเป็นหูหนวกตาบอด ดังนั้นเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับการนินทาเจียซาน ตั่วลี่จะมองเป็นของนอกกายเพียงอย่างเดียว แต่ว่าเพื่อนๆ ที่รุมล้อมกันนินทารอบๆ เธอในวันนี้ ต่างมาในนามของการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับเธอ ทำให้เธอจำต้องแสดงอาการตอบสนองบ้าง
“เธอนี่พูดอะไรหน่อยสิ อย่าเก็บความเครียดเอาไว้กับตัวจนเต็มพุงอยู่คนเดียว พวกเราเห็นแล้วทนดูไม่ได้” ซิ่วเหวิน เจียซินตีความเงียบของตั่วลี่ เป็นอาการน้ำท่วมปาก ควรระบาย
“ตายจริง จะได้เวลาเข้างานแล้ว วันนี้ฉันเลี้ยงเอง” ตั่วลี่รีบเปลี่ยนเรื่องคุย ปฏิเสธแสดงอาการใดๆ โต้ตอบ แย่งบิลมาแล้วเดินไปชำระเงินหน้าเคาน์เตอร์ เธอเลือกเสียเงินสะเดาะเคราะห์ พลางรีบเดินหนีไปจากวงเมาท์ เพราะตั่วลี่เธอตั้งใจไว้นานแล้วว่าจะยอมถอยให้เจียซานแบบไม่มีขีดจำกัด แล้วเรื่องอะไรต้องให้คนอื่นมาเวทนาสงสาร เรียกร้องความเป็นธรรมเพื่อเธออีก
“เธออ่ะนะ ใจอ่อนเกินไป ยายวายร้ายนั่นถึงรังแกเอา เชิดหน้าขึ้นมาตอบโต้บ้างสิ พวกเรายืนอยู่ฝั่งเธอทุกคนนะ” ซิ่วเหวินตามมาบอกตั่วลี่
แม้แต่ผียังรู้ว่าซิ่วเหวินกับเจียซินนั้นใช้กลยุทธ์ “ตาอินกับตานา ตาอยู่คว้าพุงไปกิน” ผู้ที่คร่ำหวอดในวงการออฟฟิศอย่างตั่วลี่มีหรือจะไม่รู้ “พวกเธอเข้าใจเจียซานผิดไปแล้ว ความจริงเธอเป็นคนที่น่าคบนะ ฉันชื่นชมเธอมาก” เธอใช้สี่ตำลึงปาดพันชั่ง เดินอ้อมกับดักไปอย่างมีชั้นเชิง เล่นเอาบรรดาขาเมาท์ทั้งหลาย ใบ้รับประทาน
เมื่อเห็นว่าซิ่วเหวินกับเจียซิน คิดหาคำพูดมายุแยงตะแคงรั่วไม่ได้อีก ตั่วลี่แอบโห่ร้องในใจว่า “บันไซ! ฮูเร่!” นึกว่านับจากนี้ตนจะแคล้วคลาดรอดพ้นจากคราวเคราะห์ แต่กลับไม่ทันเห็นว่า เมฆหมอกครึ้มดำของชะตาชีวิต มันฉวยโอกาสยามเธอเผลอไผล เริ่มตั้งเค้าขึ้นเงียบๆ เพียงพริบตาเดียวก็อุดปิดเส้นทางสู่อนาคตของเธอด้านหน้าแล้ว
“ตั่วลี่ มีแขกมาหา คอยอยู่ในห้องประชุม” กลับถึงหน้าลิฟต์ของบริษัท ก็เจอกับจ้าวเหลียงต้งที่กำลังจะออกไปข้างนอก หลังจากสั่งงานช่วงบ่ายจนเสร็จสรรพ เขาจึงบอกว่ามีคนคอยเธออยู่นานแล้ว
“ใครมาหาฉัน” ตั่วลี่รู้สึกอึดอัดในใจ
ไม่มีทางเป็นคนที่บ้าน ตั่วลี่รู้นิสัยของจ้าวเหลียงต้งดี ต่อให้มีเรื่องด่วนแค่ไหน เธอกำชับญาติมิตรว่าให้ติดต่อทางโทรศัพท์ หรือไม่ก็ส่ง SMS ฝากข้อความเสียง แล้วเธอค่อยหาทางหลบออกไปโทร.ติดต่อเอง
“แล้วจะยังมีใครอีก”
ตั่วลี่ยืนเกาหัว เดินมาหยุดอยู่ตรงบานประตูด้วยสีหน้างุนงง ผลักประตูกระจกของห้องประชุมออกอย่างระมัดระวัง ชะโงกหน้าเข้าไปดู คนแรกที่เธอเห็น กลับเป็นเจียซาน เจียซานนั่งอยู่บนเก้าอี้หันหลังให้เธอ พอได้ยินเสียงประตูเปิด ก็ใช้เท้าขวาแตะพื้นอย่างช่ำชองพร้อมกับบิดเก้าอี้หมุน หันหน้าหาเธอ
“รุ่นพี่ กลับไปกินอาหารประจำบ้านที่ดาวอังคารหรือคะ ปล่อยให้เพื่อนคอยตั้งนานแน่ะ”
ดวงตาที่โตถึงขั้นเด้งได้ เปล่งประกายที่แวววาว ปากพ่นถ้อยคำที่หยาบร้าย แต่ยังสามารถยิ้มแย้มอย่างสดใส นี่ละหยางเจียซาน เธอเหล่มองตั่วลี่แวบหนึ่ง พลันบิดเอวที่เล็กบางจนแทบจะขาดกลางไปทางขวา นั่งตัวบิดเป็นรูปตัว S อยู่กับเก้าอี้ เหมือนกับงูพิษที่ตีหน้ายิ้มแย้ม กำลังจ้องไปข้างหน้าตาไม่กะพริบ ประหนึ่งว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเธอเป็นเหยื่ออันโอชะที่ชวนน้ำลายสอ
“รุ่นพี่ คุณเพิ่งไปกินของสกปรกอะไรมาหรือเปล่า ทำไมพูดจาไม่เป็นเสียแล้ว” เจียซานใช้คำพูดที่เจ็บแสบยิ่งกว่าเดิม น้ำเสียงก็สูงหยิ่งยิ่งขึ้น ทุกครั้งที่เธอมีเรื่องอะไรไม่ได้ดั่งใจแม้แต่น้อยนิด นิสัยคุณหนูก็จะระเบิดออกมาทันที แม้จะเพิ่งอยู่ด้วยกันได้ไม่นาน แต่นิสัยเย่อหยิ่งจองหองของเจียซานนั้น ตั่วลี่รู้ดีนานแล้ว เธอยังรู้อีกว่า หากพูดจาตอบโต้รังแต่จะโดนตอกกลับด้วยถ้อยคำที่รุนแรงกว่า มิสู้นิ่งเสียตำลึงทอง
“นี่! คุณรุ่นพี่ผู้หญิงขี้เหร่ คุณได้ยินหรือเปล่า ฉันคุยกับคุณอยู่นะ คุณเป็นใบ้แล้วหรือ” เจียซานขึ้นชื่อเรื่องต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชาย เธอจะอ่อนหวานสุภาพ เมื่ออยู่ลับหลัง เจียซานไม่เคยประหยัดการแถลงถ้อยคำเผ็ดร้อนหยาบร้าย โดยเฉพาะเมื่อเจอกับคนที่ถูกตีไม่ตีตอบ ถูกด่าไม่ด่าตอบอย่างตั่วลี่ เธอยิ่งกระหน่ำเหน็บแนมเต็มกำลัง อย่างไม่มีเกรงอกเกรงใจ
“เป็นผู้ยิ่งใหญ่มาจากไหนกันแน่นะ” ตั่วลี่นึกในใจ อีกฟากหนึ่งของบานประตูที่ยังเปิดออกไปไม่สุดนั่น เชื่อว่าจะต้องมีบุคคลสำคัญคนไหนสักคนซ่อนอยู่ จึงสามารถทำให้เจียซานออกโรงด้วยตัวเอง พยายามแสดงความใกล้ชิด ปัญหาคือ เมื่อพลิกดูสมุดบัญชีมนุษย์สัมพันธ์ของตั่วลี่ทั้งหมด ยอดมนุษย์หรือตัวประหลาดผู้นี้ ไม่น่าจะเคยมีตัวตน
“ดับเครื่องชนกันเลยแล้วกัน” ภายใต้การนำพาของความอยากรู้อยากเห็น ตั่วลี่ออกแรงผลักประตู ก้าวเท้าเข้าไปในห้อง แต่ปรากฏว่า ภายในห้องประชุมมีเจียซานอยู่เพียงคนเดียว
เขาไปห้องน้ำ เจียซานช่วยคลายความสงสัยให้เธอโดยไม่ต้องเอ่ยถาม
เขากลับมาแล้ว ซ้ำยังปรากฏตัวอย่างเงียบเชียบอยู่ข้างหลังตั่วลี่ ตบไหล่เธอเบาๆ อย่างซุกซน ยืนตัวตรงแด่วปั้นหน้ายิ้มแย้ม ตั่วลี่หันหลังกลับก็เจอเข้าทันที
บุคคลที่ปรากฏขึ้นในม่านตาของตั่วลี่ เป็นชายหนุ่มแปลกหน้าที่ไม่เคยพบเจอกันมาก่อนคนหนึ่ง แต่อาศัยเพียงตาสามัญชนก็สามารถดูออกแล้วว่า เขาเป็นสุดยอดหนุ่มหล่อที่หน้าตาดีถึงขั้นผิดกติกา (เกินมาตรฐานหน้าตาของมนุษย์โลก)
ความรู้สึกแรกที่เกิดกับเขาคือ “สดใส” ดูจากผิวพรรณที่เปล่งปลั่งเรียบเนียน อายุน่าจะประมาณยี่สิบกว่าๆ ข้างใต้คิ้วเข้มไม่มีขนเส้นใดผิดรูป มีดวงตาสุกใส ฉายแววว่ายังไม่ได้เจนโลกอย่างโชกโชน เส้นผมหนาตัดเข้าทรงสั้นเป็นระเบียบดูกระฉับกระเฉง หน้าม้าที่ใช้เจลใส่ผมทำให้ยุ่งอย่างจงใจ ช่วยขับดันพลังแห่งชีวิตชีวาและความกระปรี้กระเปร่าออกมาเต็มที่ เครื่องแต่งกายที่มีสีสัน สะท้อนรูปหน้าให้ก้าวล้ำนำสมัย
ส่วนสูงประมาณ 183 สันจมูกสูงโด่ง ริมฝีปากเป็นกระจับเหมือนหญิงสาว ทั้งหมดที่เป็นลักษณะพื้นฐานตามมาตรฐานของหนุ่มรูปงาม มีครบไม่ขาดทุกประการ นอกเหนือจากนี้ สิ่งที่ผิดมนุษย์ที่สุดสำหรับเขา อยู่ที่กลิ่นอายของสง่าราศีที่แผ่ซ่านออกมาจากทั่วทั้งตัว แม้จะเพียงแค่นั่งลงเฉยๆ ก็ยังสะท้อนแสงสะดุดตา ประดุจแม่เหล็กรูปมนุษย์ที่มีพร้อมทั้งขั้วบวกและขั้วลบอยู่ในตัว ในด้านหนึ่งคือราศีสูงสง่าทำให้คนมิอาจหาญใกล้ชิด แต่ก็จะถูกรอยยิ้มของเขาดึงดูดเข้าไปหาอย่างอดใจไม่ไหว เมื่อยืนอยู่ตรงหน้าเขา ตั่วลี่ฝืนตัวเองไมให้เสียการทรงตัว แต่ร่างกายท่อนบนก็เริ่มโยกเยกไปมาเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่อยู่
เวลาคล้ายกับถูกแช่แข็ง หนึ่งนาทีที่เกิดปฏิสัมพันธ์ ความนึกคิดที่พาดผ่านหัวสมองของตั่วลี่ ยาวนานประดุจหนึ่งปี
“เยี่ยตั่วลี่ เป็นบ้าไปแล้วหรือ รบกวนพูดอะไรสักคำจะได้ไหม คนเขาคอยคุณตั้งนานแล้ว เขาเป็นใคร” เจียซานกระซิบข้างหูเธออย่างรำคาญใจ ต้องการให้เธอเล่าประวัติความเป็นมาของชายคนนั้น
“สวัสดีค่ะ ฉันคือเยี่ยตั่วลี่ ไม่ทราบว่าคุณคือ...” เมื่อได้ยินเสียงเตือนจากเจียซาน ตั่วลี่จึงได้สติ เธออ้าปากเอ่ยคำพูดทีละคำออกมาอย่างแข็งทื่อ
“ที่แท้คุณก็ไม่รู้จักเขาเหมือนกัน ฉันก็ว่าแล้ว น้ำหน้าอย่างคุณจะรู้จักผู้ชายหน้าตาดีขนาดนี้ได้ยังไง” พูดคำนี้จบ เจียซานก็ยุติการกระซิบกระซาบกับตั่วลี่ เธอเข้ามายืนขวางตรงกลางระหว่างตั่วลี่กับชายหนุ่ม ฉีกยิ้มบนหน้าจนบานสุด “ดิฉันขอแนะนำตัวอีกครั้งนะคะ ดิฉันชื่อเจียซาน เป็นเพื่อนร่วมงานของรุ่นพี่ตั่วลี่ โปรดชี้แนะด้วยค่ะ” เธอยื่นมือที่ขาวเนียนออกมาเพื่อแสดงความเป็นมิตรอย่างเปิดเผย
“หุบปาก ผู้หญิงขี้เหร่” ยื่นมือออกมาผลักไสเจียซานที่กีดขวางสายตาของเขา ซ้ำยังพยายามประชิดเข้าหา ชายหนุ่มโจมตีรูปร่างหน้าตาที่เจียซานภูมิอกภูมิใจและมั่นใจเป็นที่สุดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก นั่นทำให้เธอต้องโมโห
“ฉันนะหรือขี้เหร่ ถ้าอย่างนั้นในโลกก็ไม่มีผู้หญิงสวยอีกแล้ว อย่างเธอนี่ก็ต้องกลายเป็นขยะนะสิ” ชี้นิ้วไปทางตั่วลี่ เธอยืนยืดอกกระดกก้น วางเท้าเป็นรูปตัว T อวดโชว์เรือนร่างของตนอย่างเย่อหยิ่ง เพื่อดึงดูดความสนใจของชายหนุ่ม จากตั่วลี่กลับมาสู่ตน
“รอบอกไม่เกินกว่า E อย่าอวดว่าตัวเองอกโต รอบเอวไม่ต่ำกว่ายี่สิบสี่อย่าคุยว่าตัวเองมีเอว ช่วงขาไม่ถึงหนึ่งร้อยยี่สิบอย่านึกว่าตัวเองขายาว ไม่เคยตั้งใจส่องกระจกดูให้ดี อย่าเที่ยวไปโม้ว่าตัวเองสวย สุดท้าย กรุณาแปรงฟันแล้วค่อยอ้าปากพูด ผมขอบอกกับคุณด้วยความเสียใจว่า ตัวของคุณเหม็นโฉ่เกินทน อีกอย่าง รบกวนก่อนที่คุณจะนินทาคนอื่นหรือกระซิบกระซาบกับใคร กรุณาตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่า ละแวกใกล้เคียงไม่มีคนที่ประสาทรับฟังระดับ 2.0 อย่างผมอยู่ด้วย” คำพูดหยาบคายต่างๆ ที่เจียซานพ่นใส่ตั่วลี่เมื่อครู่นี้ ชายหนุ่มได้ยินชัดเจน การแสดงออกที่จงใจหยามหมิ่นเจียซาน ทั้งหมดก็เพื่อแก้แค้นแทนตั่วลี่
“อีกอย่าง ตาของคุณมันหลุดหายไปจากเบ้าแล้วหรือ ดูยังไงว่าเธอเป็นขยะ ดูสิเธอวิ่งได้เต้นได้ แขนยังมีขน เหมือนลูกหมามากกว่าไม่ใช่หรือ” ไม่ทันได้รับอนุญาตจากตั่วลี่ เขาก็ฉุดดึงแขนของเธอมาทางตัว เลิกแขนเสื้อของตั่วลี่ขึ้น ชี้ไปยังขนอ่อนที่ชูชันบนท่อนแขนของเธอ เพียงคำพูดสองสามประโยคของชายหนุ่ม ก็ทำให้เจียซานโกรธจัดจนหน้าเขียว พร้อมกับผลักดันตั่วลี่ให้ตกสู่สภาพวะแข็งทื่อขั้นรุนแรง ทำให้เธอจะขยับตัว หัวเราะหรือร้องไห้ ไม่ได้ทั้งนั้น
ชายหนุ่มยิ่งหัวเราะ ดวงตาใสกลมข้างหลังแว่นตาไร้กรอบคู่นั้น ก็ยิ่งกลอกกลิ้งพลางฉายแววเจ้าเล่ห์ตลกร้าย ฝีปากคมกริบ คายพ่นคำศัพท์ชั่วร้ายอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ กล้าพูดคำที่ไม่มีใครกล้าพูด ทั้งหมดนี่คือกลิ่นอายพิเศษเฉพาะตัวของคนวัยรุ่น---ความหอมเข้มข้นของดอกไม้แรกบาน ปะทุกลิ่นอบอวลออกมาอย่างเคอะเขินแต่โผงผางและเที่ยงตรง
ชายหนุ่มสลัดเจียซานที่กำลังแผดเสียง ขอให้ตั่วลี่ช่วยพาเขาไปยังที่ที่สะดวกพูดคุย
“ห้องผู้ดูแลอาคารชั้นล่าง” หากถึงวันที่เสี่ยวหลิวเข้าเวร ก่อนเวลาบ่ายสามโมง ห้องรับแขกชั้นหนึ่งจะไม่มีคนเข้าออก และตั่วลี่บังเอิญมีกุญแจสำรองสามารถเข้าออกได้โดยอิสระ
“ตกลง ไปที่นั่นกัน ขอมือ...” ชายหนุ่มแบมือพลางออกเสียงสั่งตั่วลี่ เธอวางมือลงบนฝ่ามือของชายหนุ่มอย่างว่าง่าย “Good doggy!” เขากุมมือเธอพร้อมกับออกแรงลาก ชายหนุ่มเป็นคนนำพา พวกเขาเดินตรงไปทางห้องบันได แวบหายไปจากสำนักงานอย่างกับลม สายลมพัดเอาความประหลาดใจเข้าไปในตาของผู้คนทั้งหลาย พวกเขาพากันขยี้ตา อยากทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พร้อมกับเจียซานที่วิ่งไล่ตามออกไป ทำไมจึงต้องตีอกชกหัว น้ำตานองหน้า
“เมื่อคืนนี้คุณเป็นคนช่วยคนที่ติดอยู่ในแกลลอรี่ใช่ไหม คนคนนั้นอยากเลี้ยงข้าวคุณวันเสาร์นี้ คุณพอจะให้เกียรติได้ไหม” หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยเหลือคนผู้นั้นแล้ว ได้ยินว่าคนผู้นั้นอยากจะตอบแทนตั่วลี่ จึงทิ้งที่อยู่และวิธีติดต่อของตั่วลี่ให้กับเขา
ชายหนุ่มแนะนำตัวกับตั่วลี่อย่างนอบน้อม พร้อมกับแจงวัตถุประสงค์ในการมาเยือนเธอครั้งนี้
“ผมชื่อเหวยฉีเสียง เรียนปีสองสาขาการค้าระหว่างประเทศ มาเพื่อเชิญคุณไปงานเลี้ยง ‘บุญคุณที่ช่วยแจ้งตำรวจให้เปิดประตู’ เจ้าภาพเป็นเพื่อนรักของผม ชื่อเฉินเค่อลั่ว นักศึกษาอัจฉริยะสาขาศิลปกรรมที่อายุเท่ากับผม ดาวประดับฟ้าแห่งแวดวงจิตรกรรมในวันพรุ่ง!” เขาคุยโม้น้ำลายแตกฟอง ประหนึ่งกำลังคุยโวในเรื่องของตนเอง
“คุณผู้หญิงเจ้าของร้านแกลลอรี่ เป็นอะไรกับเขาหรือเปล่า” จุดสนใจของตั่วลี่ ไม่ได้อยู่ที่เธอจะตอบรับคำเชิญของคุณเฉินคนนี้หรือไม่ แต่กลับกลายเป็นเรื่องจุกจิกที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ เลย
“ก็เป็นนายจ้างกับนักศึกษาที่ทำงานพิเศษ ส่วนเจ้าของร้านเป็นน้าสาวของผม เรื่องนี้สำคัญด้วยหรือ” เหวยฉีเสียงอธิบายความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสามตามความจริง
“จริงหรือ ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องเลี้ยงข้าวฉันหรอก แต่คุณช่วยบอกกับน้าสาวของคุณสักคำ ว่าขอให้ฉันได้ดูภาพวาดสีน้ำมันในตู้โชว์ผืนนั้นใกล้ๆ สักครั้ง ไม่ใช่แบบดูผ่านตู้กระจกนะ แต่ต้องเข้าไปชื่นชมอยู่ข้างในนานๆ เอาแบบใกล้ชิดตัวติดกันเลย หนึ่งวัน... ไม่ ครึ่งวันก็พอ สามชั่วโมง...” ชูนิ้วชี้ขึ้น พลันหุบลงครึ่งหนึ่ง แต่แล้วก็ชูเพิ่มเป็นสามนิ้ว นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง ตั่วลี่ก้มหน้าก้มตาต่อรองกับตัวเอง ส่วนฉีเสียงนั้นเอียงคอมองเธอนิ่งๆ แววตาล่องลอย ประดุจกำลังใช้ความคิด
“คุณหมายถึง ‘รัตติกาลแรก’ หรือ” ผ่านไปครู่ใหญ่ๆ เขาจึงพูดตอบ น้ำเสียงระคนความไม่พอใจ
“ใช่ใช่ใช่... คุณก็รู้สินะ ภาพสวยมากจริงไหม เสียดายที่แพงเกินไปหน่อย เจ้าของร้านก็เขี้ยวเหลือเกิน แม้แต่ขอดูยังไม่ยอมให้ดู”
เมื่อเอ่ยถึง “รัตติกาลแรก” ก็เปิดประเด็นให้ตั่วลี่อย่างจัง เธอพล่ามพูดไม่หยุด ทั้งชื่นชม ยกย่อง คาดหวัง หลากหลายอารมณ์ผสมปนเปไปหมด เรื่องราวใดๆ ก็ตามที่เกี่ยวข้องกับ “รัตติกาลแรก” ช่างรู้สึกคุ้นเคยกับเธอเป็นพิเศษ จนกระทั่งมิอาจปิดบังความตื่นเต้นดีใจ ถึงกับลืมไปว่าฉีเสียงเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จัก และศักดิ์ศรีลูกผู้หญิงที่พึงควรสงวนตัว
“เหลือเกินจริงๆ ทำไมทุกคนที่อยู่รอบๆ ผม พูดถึงภาพนี้ขึ้นมาเมื่อไหร่ เป็นต้องบ้าๆ บวมๆ กันไปหมด”
“ความรักความชังของคนเรามันไม่เหมือนกัน คุณเกลียด แต่ฉันชอบ ก็เป็นเรื่องธรรมดา จริงสิ ตกลงได้หรือไม่ได้”
“เรื่องขี้ประติ๋ว ไม่ต้องถามน้าผมหรอก ผมรับปากคุณเอง วันเสาร์คุณมาตามนัดให้ตรงเวลา ผมมอบอำนาจให้คุณอยู่กับมันตัวต่อตัวสิบสี่วันเต็ม ไหนๆ คนที่คุณช่วยชีวิตเอาไว้ก็เป็นเจ้าของผลงาน เขาก็ต้องรับปากคุณอย่างแน่นอน”
“อะไรนะ ‘รัตติกาลแรก’ เป็นฝีมือของเด็กมหา’ลัยหรือ ฉันนึกว่าเป็นผลงานของปรมาจารย์ชาวต่างชาติคนไหนเสียอีก ถึงได้ขายแพงหูฉี่ขนาดนี้!”
“ดูถูกกันจริงๆ ผมบอกคุณแล้วว่าเจียลั่วของเรานะจะเป็นปรมาจารย์วงการจิตรกรรมในอนาคต เขาเรียกหาคุณ ถือเป็นเกียรติอันสูงส่ง ตอบมาคำเดียว ไปหรือไม่ไป”
“ไป ต้องไปอยู่แล้ว ที่ไหนเมื่อไหร่”
“ถือว่าคุณรู้จักเลือก สถานที่คือร้านแกลลอรี่ เพราะคุณน้าของผมจะไปซื้อภาพที่ต่างประเทศ แกลลอรี่ปิดร้านสองอาทิตย์ ส่วนเวลาคือหนึ่งทุ่มตรง” ฉีเสียงเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ อยู่ๆ ก็ตบมือทีหนึ่งพลางแก้คำว่า “อ๊ะ! โทษที ผมจำผิด สี่โมงเย็นต่างหาก”
“บ่ายสี่โมงเย็น ใครเขากินอาหารเย็นกันเวลานั้น”
“คุณก็น่าจะรู้ พวกศิลปินมักมีนิสัยแปลกๆ ไม่มีอะไรพิเศษหรอก ตารางเวลาของไอ้หมอนั่นมันพิลึกจะตาย ตีสี่กินข้าวเช้า เก้าโมงกินข้าวเที่ยง รบกวนคุณร่วมมือสักครั้ง มาให้ตรงเวลานะ” เหตุผลที่ฉีเสียงอ้าง หากหมายถึงคนอื่นตั่วลี่ตีให้ตายก็คงไม่เชื่อ แต่เมื่อหมายถึงศิลปิน ก็ฟังดูเข้าท่าขึ้นมาก
“ผมรับรองว่าดีต่อคุณแน่ๆ” เป็นห่วงว่าตั่วลี่จะลังเลไม่ยอมไป ฉีเสียงรับรองเป็นมั่นเหมาะ ว่านัดครั้งนี้ตั่วลี่จะต้องได้กำไรมากมาย
“ได้ ตกลงตามนั้น”
ให้คำมั่นสัญญากันเสร็จสรรพ ยืนมองฉีเสียงกลับเข้าร้านแกลลอรี่แล้ว ตั่วลี่จึงกลับขึ้นไปที่บริษัท
ภายในบริษัทตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายไม่เป็นมงคล ตามคำบอกเล่าของฟู่เหลิ่นคือ หลังจากที่เธอกับฉีเสียงออกไป เจียซานก็วิ่งออกไปจากบริษัทด้วย และหลังจากเจียซานหายตัวไปไม่ถึงยี่สิบนาที จ้าวเหลียงต้งก็โมโหโกรธา โทร.ตามตัวตั่วลี่มาคิดบัญชีจ้าละหวั่น
ฐานะของเจียซาน ในที่สุดก็ถูกเปิดเผยจากปากของจ้าวเหลียงต้ง เธอเป็นลูกสาวสุดที่รักของท่านรองประธานกรรมการบริษัท ฉวยโอกาสช่วงว่างก่อนจะไปเรียนต่อต่างประเทศ เข้ามาฝึกงานในระดับฐานล่าง ความจริงมันเป็นเรื่องที่ดี แต่บัดนี้กลับซมซานกลับบ้านอย่างทุลักทุเล ไม่พูดไม่จา ขังตัวเองร้องไห้อยู่ในห้องคนเดียว ดังนั้นคุณนายที่รักและตามใจลูกสาว จึงสอดมือเข้ามาก้าวก่าย โทรศัพท์ถึงจ้าวเหลียงต้งด้วยตนเอง เพื่อถามไถ่ว่าเกิดอะไรกับลูกสาว
“สั่งเธอว่ากลับมาถึงโต๊ะเมื่อไหร่ ให้โทร.หาผมทันที” จ้าวเหลียงต้งเรียกถามเท่านั้น ก็รู้ทันทีว่าตั่วลี่คือต้นเหตุตัวการ เขากำลังจะเอาเรื่อง แต่ปรากฏว่าตั่วลี่ออกไปข้างนอกกับฉีเสียง
“ตั่วลี่จบเห่แล้วงานนี้ โชคดีที่ฉันไม่เคยทำอะไรเกินเลย ดูแค่สง่าราศีในตัวของเธอ ก็รู้แล้วว่าภูมิหลังไม่ธรรมดา” คนที่ยุแยงตะแคงรั่ว ทำนาบนหลังคนในหมู่คณะ มักจะเป็นคนกลุ่มเดียวกัน ครั้งนี้ก็ไม่ยกเว้น ซิ่วเหวิน เจียซินเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ หนีห่างจากตั่วลี่ไกลลิบ ทั้งคู่กระซิบกระซาบกัน รอดูของดี
ว่าด้วยเหตุและผลแล้ว ตั่วลี่จะต้องผจญกับลมพายุพัดกระหน่ำ และเมื่อดูจากนิสัยเลียขาเจ้านายของจ้าวเหลียงต้ง ต่อให้ต้องไล่ตั่วลี่ออกเพื่อระงับโทสะของคุณนายผู้หญิง ขอให้มีประโยชน์ต่อการรักษาตำแหน่งตนเองเอาไว้ เขาก็ย่อมยอมเสียแขนเพื่อรักษาชีพ สลัดลูกน้องทิ้งอย่างมิแยแส
“ขอบคุณผู้จัดการที่แนะนำค่ะ” แต่เมื่อคนทั้งบริษัท ต่างพากันเงี่ยหูชูชันตั้งใจฟังคำสนทนาระหว่างตั่วลี่กับจ้าว เหลียงต้ง ฉากจบกลับพลิกความคาดหมายของทุกคน จ้าวเหลียงต้งนอกจากไม่ได้ว่ากล่าวตำหนิติเตียนใดๆ เลยแม้แต่คำเดียว ซ้ำยังขอบอกขอบใจ ชมเชยยกย่องตั่วลี่เป็นการใหญ่ จนกระทั่งเธอต้องหน้าแดงขวยเขินระคนงุนงงสงสัย
จ้าวเหลียงต้งพูดว่า “เจียซานเข้าไปในห้องทำงานท่านรองประธานด้วยตัวเอง เพื่อกล่าวขอโทษต่อการกระทำที่เอาแต่ใจ ไม่ใส่ใจของตัวเธอ บอกว่าความดีความชอบทั้งหมดเป็นเพราะเธอช่วยสั่งสอนตักเตือน ทำให้เธอได้สติ ยินดีทบทวนปรับแก้ค่านิยมที่ผิดๆ ของตน ซ้ำยังอยากจะขอเรียนรู้กับเธอต่อไปเรื่อยๆ”
“นี่ฉันหูเพี้ยนไปหรือเปล่านะ คนที่พูดอะไรแบบนี้ จะเป็นยายปากอสรพิษ มีแค้นต้องชำระ นี่ใช่หยางเจียซานที่ฉันรู้จักจริงๆ หรือ ฉันไปสั่งสอนอะไรเธอเมื่อไหร่ ฉันเองยังเคลิ้มฝันอยู่เลย จะไปมีปัญญาเรียกสติใครได้” ตั่วลี่ได้แต่งึมงำงงงวยอยู่ในใจ แต่ปากนั้นกลับหุบแน่นยิ่งกว่าเดิม
“ผู้จัดการกินยาผิดหรือเปล่า เธอมีเรื่องกับลูกสาวท่านรองประธานที่เคารพ เขากลับยังให้กำลังใจเธอ ชมเชยเธอเนี่ยนะ เขาควรจะพูดว่า ‘ไสหัวไปให้พ้นเดี๋ยวนี้!’ ส่วนเธอก็ควรจะพูดว่า ‘ดิฉันขอร้องนะคะ อย่าไล่ดิฉันเลยนะคะ’ ถึงจะถูกสิ ซิ่วเหวินผลักเก้าอี้หลบไป จับไหล่ตั่วลี่เอาไว้ สีหน้างุนงง พร้อมกับถามอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ด้วยเสียงดังขึ้นหลายเท่าตัว
“เธอถามฉัน แล้วฉันจะไปถามใคร ทำงานเหอะน่า ก่อนบ่ายสามโมงต้องเคลียร์ยอดสั่งซื้อของฤดูกาลนี้ให้เสร็จ ถ้าทำไม่เสร็จ รับรองพวกเราทุกคนต้องถูกตัดหัวเสียบประจาน กลับบ้านตัวใครตัวมันกันแน่นอน” ตั่วลี่ยกมือขวาขึ้นมาทำท่าเชือดคอ เป็นการปรามมิให้ซิ่วเหวินถามต่อ
แคล้วคลาดจากมหันตภัยอย่างกับปาฏิหาริย์ ถือเป็นโชคดีอย่างยิ่งแล้ว ถ้าหากปากมากจนทำให้เกิดเหตุแทรกซ้อน นั่นคงสมควรตาย ตั่วลี่จะโง่แค่ไหนก็ไม่โง่ถึงขนาดสิ้นคิดฆ่าตัวตาย แต่เธอเองก็อดคิดไม่ได้ หรือว่าการจู่โจมของฉีเสียงนั้นรุนแรงเกินไป ถึงขั้นทำให้ประสาทส่วนไหนสักแห่งของเจียซานลุกไหม้เสียหาย ทำลายการทำงานของสมอง คำพูดและความคิดจึงกลับตาลปัตร หรือไม่ก็กินยาผิด
ในที่สุดก็ยื้อจนกระทั่งเลิกงานโดยสวัสดิภาพ เป็นครั้งแรกที่ไม่ได้โบกมือลาใคร ลุกไปตอกบัตรแล้วกลับบ้านเลย แม้แต่แกลลอรี่ที่ปกติต้องอ้อมไปเยี่ยมวันนี้ก็ยกเว้น เรื่องเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นตลอดทั้งวัน เสมือนกับพานพบคลื่นลมสึนามิ ตั่วลี่ต้องการเวลาเงียบๆ เพื่อตกตะกอน
กลับถึงบ้าน ทานอาหารเย็นง่ายๆ เสร็จ ละครหลังข่าวก็ไม่ดูแล้ว หลบเข้าห้องนอนตัวเอง ลืมตาโตจ้องมองหลอดไฟนีออนบนเพดานห้อง นึกทบทวนเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นสองวันติดกัน
หนุ่มหล่อฉีเสียง กับภาพในจินตนาการที่เธอนึกวาดเอาไว้นับร้อยนับพันครั้ง---รูปร่างหน้าตาของเขา ฝ่ามือที่เกลี้ยงเกลาประดุจผลงานของพระเจ้า โดยเฉพาะความคิดอ่านสร้างสรรค์ที่ละเอียดอ่อนละเมียดละไม เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ตั่วลี่ต้องอดนอนนับครั้งไม่ถ้วน จิตรกรลึกลับผู้รังสรรค์ “รัตติกาลแรก” ที่เคยคิดว่าอยู่ไกลเกินเอื้อม บัดนี้กับอยู่ใกล้แค่ขอบตา ซ้ำยังเชื้อเชิญให้เธอร่วมรับประทานอาหารเย็น คล้ายกับทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นความฝัน โดยที่เธอยังไม่ทันได้ตื่นเลย แต่ความรู้สึกอิ่มตื้อที่เกิดจากอาหารเย็นในกระเพาะ เสียงแผดดังของเครื่องดูดฝุ่นที่คุณแม่กำลังใช้งานอยู่ข้างนอก เงาของน้องสาวที่เดินไปเดินมาอยู่ในห้อง มันช่างมีมิติ มีชีวิต ประหนึ่งเกิดอยู่รอบตัว ทำให้อดเชื่อไม่ได้ว่า ตัวเองกำลังอยู่ในโลกของความจริง
“ปากอ้าๆ ตาลอยๆ เจ้าข้าเอ๊ย แถวนี้มีคนกำลังตกหลุมรักจ้า!”
“อยากตายหรือไง กล้าพูดจากับพี่สาวอย่างนี้”
“จะเป็นไรไป หัวใจของพี่ปล่อยร้างตั้งนานแล้ว ได้เวลาหาคนมาระบายได้แล้ว”
“เอาแล้ว ยายตัวแสบเยี่ยตั่วซิน บังอาจล้อเลียนท่อน้ำเลี้ยงตัวเองใช่ไหม สงสัยค่าขนมเดือนนี้ คงไม่อยากได้แล้วสินะ”
“โธ่พี่สาวสุดที่รัก หนูผิดไปแล้ว อย่าทำอย่างนี้จิ น้องสาวคนนี้ยังต้องกินต้องโตนะก๊ะ!” ตั่วซินกอดเข่าตั่วลี่ อ้อนวอนขอร้อง พลางสายตาเหลือบไปเห็นเสื้อผ้าชุดสวยที่แขวนอยู่กับไม้แขวนเสื้อริมประตู ร้องเสียงแหลมขึ้นทันทีว่า “ว้าว พรุ่งนี้พี่จะไปไหนกับใครละนี่ เสื้อไหมพรมคอลึก กระโปรงสั้น แหวะ กระหายจะตายอยู่แล้วยังทำเป็นแอ๊บกุลสตรี! เดี๋ยวก่อน อย่าหาว่าน้องสาวของพี่ใจจืดใจดำ หนูก็รู้จักทดแทนคุณเหมือนกันนะ จะบอกให้”
ตั่วซินรีบลุกจากไป เมื่อกลับมาก็หอบเอาข้าวของกองโตมาด้วย ได้แก่พวกชุดชั้นในผู้หญิง จีสตริงสีดำ เสื้อคลุมสีเงินแวววาว กางเกงในจิ๋วหลิว ถุงน่องยาวพร้อมสายรัดสีขาวงาช้างฉลุลูกไม้หูกระต่าย น้ำหอมยั่วสวาท บรรดาข้าวของยั่วเซ็กส์ลานตา มีพร้อมครบครัน
“เงินที่ฉันให้เธอไปซื้อเสื้อผ้า เธอเอาไปซื้อแต่พวกของทะลึ่งตึงตังอย่างนี้หมดหรอกหรือ”
“คุณพี่ขา ขอทีเหอะ อายุไม่เท่าไหร่ทำตัวหัวโบราณไปได้ อีกอย่างไอ้พวกที่พี่เห็นเนี่ย มันเป็นแค่อุปกรณ์พื้นฐานเบื้องต้นเท่านั้นเอง”
“กุญแจมือนี่ก็เบื้องต้นอย่างนั้นหรือ” ตั่วลี่พลิกเจอกุญแจมือแบบที่ตำรวจใช้ ในกระเป๋าของเสื้อคลุม ชูขึ้นแกว่งไปมากลางอากาศ จ้องมองน้องสาวด้วยสายตาดุร้าย
“มันเป็น... อุปกรณ์ประจำตัวเบื้องต้น ของแฟนใหม่หนูที่เป็นตำรวจน่ะ แหม่ หนูก็แค่หวังดี ของพวกนี้หนูทิ้งไว้นี่แหละ พี่จะเอาหรือไม่เอาก็ตามใจ หนูมีธุระต้องไปก่อนแล้ว” ชิงกุญแจมือมาจากตั่วลี่ ตั่วซินก็สาวเท้าเผ่นแน่บทันที
“แฟนของเธอพรุ่งนี้จะมากินข้าวที่บ้านไม่ใช่หรือ ทางที่ดีเธอรีบไปบอกเขาให้คืนนี้ไปสอบเข้าโรงเรียนตำรวจเลยนะ ซ้ำยังต้องเรียนจบหลักสูตรภายในวันพรุ่งนี้ด้วย ไม่อย่างนั้น คอยดูพี่จะฟ้องพ่อกับแม่”
“ไม่มีปัญหา เดี๋ยวหนูไปเข้าเน็ตหาตำรวจสักคนมารักหนูก็แล้วกัน” พูดจบ ตั่วซินก็ปิดประตูหายวับไปแล้ว
ตอนแรกตั่วลี่จ้องมองเสื้อผ้า “เซ็กซี่” ที่ใจกล้าบ้าบิ่นเหล่านี้อย่างเหนียมอาย ทำเป็นหยิบจับปัดเล่นกองผ้าเหล่านั้นอย่างไม่ตั้งใจ เมื่อแน่ใจว่าประตูล็อกอยู่ ปลอดภัยแน่นหนา ก็เริ่มทดลองหยิบใส่ทีละตัว ชุดชั้นในสีดำทั้งชุดเธอก็มี แต่รูปทรงที่จงใจยั่วยวนขนาดนี้ เธอไม่กล้าทดลอง ขณะสวมถุงน่องลายตาข่ายติดกับสายรัดตรงหน้ากระจก เธอเอาศีรษะชนคาไว้กับกระจกเงา อาศัยเหลือกตาขึ้นชำเลืองมองเท่านั้น เพียงแค่มองผ่านอย่างแวบเดียว ก็ก้มตัวหัวเราะคิกคักไม่ยอมหยุด
“ทะลึ่งจริงๆ” ปากแสดงความรังเกียจ แต่สองมือกลับหยิบก้อนซิลิโคนเสริมอกรูปเกี๊ยวน้ำสอดเข้าไปในชุดชั้นในทีละข้าง
“เวอร์เกินไปจริงๆ อย่างกับหัวใจทั้งดวงมันจะกระทุ้งออกมาแนะ” จ้องมองไซส์คัพที่โตขึ้น กอปรกับทรวงอกที่สวยขึ้นหลังปรุงแต่ง ตั่วลี่ยกมือขึ้นกุมปาก จึงจะบดบังความภูมิใจที่มันล้นออกมาทางมุมปาก
“ปัดโธ่เอ๋ย นี่ฉันทำอะไรอยู่เนี่ย ก็แค่ไปกินข้าวเท่านั้น นึกว่าไปเลือกคู่หรือไงนะ ต่อให้ไปเลือกคู่ก็ไม่เห็นต้องใส่ชุดชั้นในเซ็กซี่เลย” งึมงำกับตัวเอง พลางรีบถอดซิลิโคนออก
“ต่างกันเยอะจัง ช่างหัวมันเถอะ ชั่วชีวิตได้บ้าๆ บอๆ สักครั้ง อีกอย่างใส่อยู่ในเสื้อ ใครจะไปเห็น” ทนเห็นทรวดทรงตนเองกลับสู่สภาพเดิมไม่ได้ ตั่วลี่ตัดสินใจไปตามนัดด้วยเครื่องแต่งกายเซ็กซี่ “ฮ่าฮ่าฮ่า” จากนั้นเธอก็ยัดก้อนเสริมทรงกลับเข้าไปใหม่ ทั้งบีบทั้งอัด โพสท่าเย้ายวนอยู่หน้ากระจกไม่ยอมหยุด สุดท้ายก็อดขำไม่อยู่ จนหัวเราะเสียงลั่น
คืนนั้นตั่วลี่ฝันเห็นตัวเองมีหน้าอกขนาดชามน้ำแกง เอวเหมือนผลน้ำเต้า สะโพกกลมเด้งเหมือนผลท้อ นั่งรถคาดิลแลกขาวคันยาว มุ่งตรงไปยังร้านแกลลอรี่โดยมีคนล้อมหน้าล้อมหลัง พอไปถึงจ้าวเหลียงต้งช่วยเปิดประตูให้ คุกเข่าลงจูบนิ้วที่เรียวยาวขาวเนียนของเธอ เพื่อนร่วมงานทั้งหมดยืนเรียงเป็นสองแถวต้อนรับ เพื่อนร่วมงานชายใช้สายตาที่ปกติใช้เพ่งมองเจียซาน หันมามองเธอ ส่วนเจียซานทำหน้ายู่ยี่ เดินจับชายกระโปรงตามก้นเธอต้อยๆ บรรยากาศในงานยิ่งใหญ่อลังการ ตัวเธอนั้นโดดเด่นงามสง่า ส่องแสงเจิดจรัส ประดุจซุปเปอร์สตาร์แห่งยุค
(มีต่อในฉบับ-วางจำหน่ายแล้ว)
Copyright © 2009 by Freeformbooks, Lomdee Co.,Ltd. All rights reserved.© สงวนลิขสิทธิ์โดยฟรีฟอร์มสำนักพิมพ์ ในนามบริษัท ลมดี จำกัด ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดของหนังสือเล่มนี้ไปลอกเลียน ทำสำเนา ถ่ายเอกสาร หรือนำไปเผยแพร่ในอินเตอร์เน็ต หรือสื่อชนิดอื่นๆ ไม่ว่าในรูปแบบใด นอกจากจะได้รับอนุญาตเป็น
ผู้ชายเหมือนระเบิด
[ความสุขกำลังจะมา]
หวง-เยวี่ยน : เขียน
อนุรักษ์ กิจไพบูลทวี : แปล
'ปราย พันแสง : คำนิยมชมชื่น
............
....................
ความรักที่ตราตรึง การผจญภัยที่สดสวย เรื่องราวชวนปลื้ม ปีติระคนเหลือเชื่อกักตุนอยู่เต็มสมอง อัดแน่นเจียนระเบิด รสชาติเข้มข้น ความกดดันไร้ขีดจำกัด จำต้องหาทางระบาย
ผมจำเป็นต้องระเบิด กรุณาอย่าเป็นห่วง เมื่อผมแหลกเหลวปี้ป่น ผมจะไม่ทิ้งรอยบาดเจ็บใดๆ ไว้บนตัวคุณเลย ดินระเบิดในตัวผมเป็นจิตวิญญาณ สิ่งเดียวที่จะหวั่นไหวบ้างก็คือหัวใจคุณ นอกนั้นจะไม่มีอะไรแตกสลาย
ผมจะระเบิดเสียงหัวเราะจากริมฝีปากของคุณ ระเบิดอวัยวะภายในของคุณจนแตกสลาย ก่อให้เกิดควัน แก๊สน้ำตา จนคุณร้องไห้ กัมมันตภาพรังสีตามแบบฉบับของผมจะฝังตัวอยู่ในยีนของคุณ แล้วคุณจะลืมผมไม่ลง
แต่ก่อนอื่น คุณต้องจุดไฟให้มันก่อน
ในงานปาร์ตี้ตัวหนังสือ “ระเบิดแห่งความสุข”
วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม 2552
เวลา 14.00 น. ณ ร้านหนังสือบุ๊คมาร์ค
ชั้น 1 อาคาร The Third Place ทองหล่อ ซอย 10
แนะนำสุดยอดพ็อคเก็ตบุ๊คซีรี่ส์ฮอตระเบิด
ของ ‘หวง-เยวี่ยน’
พร้อมด้วยนักแปลเจ๋งระเบิด
เจ้าของผลงานแปลระเบิดระเบ้อมาแล้วกว่า 20 เล่ม
ดำเนินรายการโดยพิธีกรหวานระเบิด
และอื่นๆ อีกมากมาย :)
Last update: June 5,2009
...........
เป็นอีกวันหนึ่งที่ได้ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม ได้หัวเราะ หัวเราะ หัวเราะ และคุย คุย คุย จนเมื่อยอย่างมีความสุข สมกับชื่องาน "ระเบิดแห่งความสุข"เอาเสียจริงๆ
..
รายงานโดย : กองบรรณาธิการฟรีฟอร์ม
ระเบิดแห่งความสุข บทสนทนาแห่งความเบิกบาน
สารภาพตามตรงว่าก่อนจะรู้จักตัวอักษรและตัวตนของหวงเยวี่ยน เราไม่เคยได้ยินชื่อหรือแม้แต่ผ่านตางานเขียนจากดินแดนซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของจีนอย่างไต้หวันมาก่อน จนกระทั่งเมื่องาน “ระเบิดแห่งความสุข” ถูกจุดขึ้นตอนบ่ายสองกว่าๆ ของวันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม ในซอยทองหล่อ 10 ณ ร้านหนังสือบุ๊คมาร์คของ The Third Place เราจึงเชื่อว่ามิตรภาพจากคนแปลกหน้าสามารถสร้างเสียงหัวเราะได้จริง ซึ่งเป็นงานเปิดตัวหนังสือเล่มล่าสุด”ผู้ชายเหมือนระเบิด” จากฟรีฟอร์มสำนักพิมพ์ โดยมีสายส่งศึกษิต เคล็ดไทยเป็นผู้ร่วมสนับสนุน
ประมาณบ่ายโมงครึ่งก่อนงานเริ่มสักครึ่งชั่วโมง แม้คนในงานไม่ถึงกับเนืองแน่นเบียดเสียดจนไร้ที่ยืน แต่ก็มากเกินพอจะอนุญาตให้ใช้คำว่าอบอุ่น หวงเยวี่ยนมาถึงงานแล้วในตอนนั้น กำลังเดินไปมาถ่ายรูปเก็บบรรยากาศด้วยท่าทีสบายๆ จนหลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นช่างภาพ ตามประกบด้วยเบียร์-อนุรักษ์ กิจไพบูลทวี ผู้แปลซึ่งเปรียบเหมือนเพื่อนเพียงคนเดียวของนักเขียนชาวไต้หวันคนนี้ (เพราะเป็นคนเดียวที่พูดภาษาจีนได้) และเมื่อตรีดาว อภัยวงศ์ พิธีกรสาวปรากฏโฉมขึ้น บทสนทนาแห่งความเบิกบานจึงถึงเวลาเริ่มต้นหลังจากเลยกำหนดการเดิมมาไม่นานนัก
เหมือนเช่นงานเปิดตัวหนังสือเล่มอื่นทั่วไป ตรีดาวเริ่มต้นด้วยการกล่าวทักทายผู้มาร่วมงานพอหอมปากหอมคอก่อนเรียกเบียร์มาสอบปากคำเกี่ยวกับผลงานก่อนๆ รวมถึงแนวทางการเลือกหนังสือมาแปลของตัวเอง เบียร์ตอบว่าเลือกแปลเฉพาะภาษาจีนเพราะเป็นภาษาที่ถนัด และจะแปลเฉพาะงานที่ตัวเองชื่นชอบเท่านั้น ซึ่งงานของหวงเยวี่ยนถือเป็นหนึ่งในนั้น
และแล้วเวลาที่หลายคนรอคอยก็มาถึง เมื่อถึงคราวนักเขียนมากความสุขขึ้นเวที แน่นอนว่าเบียร์ผู้แปลต้องรับหน้าที่ล่ามจำเป็นไปในตัว ปัญหาคือไมค์ในร้านบุ๊คมาร์คมีจำกัดแค่สองตัวทำให้การถาม-ตอบและแปลต้องอาศัยการส่งไมค์กันไปมาเรียกเสียงฮาจากผู้ชมได้ไม่น้อย สมแล้วที่หวงเยวี่ยนเป็นนักเขียนเบสเซลเลอร์เพราะเล่าเรื่องสนุกมาก แค่ประสบการณ์ส่วนตัวในวัยเด็กก็สามารถสร้างรอยยิ้มให้อบอวลทั่วร้าน ที่น่าสนใจคือเขาแทบไม่เคยเข้าเรียน เอาแต่ขลุกอยู่ในห้องสมุดแต่เป็นคนเดียวในโรงเรียนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเรียนในระบบโรงเรียนอาจไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องเสมอไป
สำหรับใครที่อยากรู้ว่าจุดเริ่มต้นของ ‘ผู้ชายเหมือนระเบิด’ มาจากไหน เชื่อหรือไม่ว่านิยายเรื่องนี้เริ่มต้นจากหนุ่มขี้เมาในร้านเหล้าซึ่งหวงเยวี่ยนบังเอิญเจอในร้านที่เขาไปประจำ ชายคนนั้นโวยวายเสียงดังถึงความรักไม่สมหวังของตัวเอง ถ้าเป็นคนอื่นอาจบ่นด้วยความรำคาญและปล่อยให้เหตุการณ์นี้ผ่านไปแต่หวงเยวี่ยนไม่ เขาพาชายคนนั้นกลับบ้านในสภาพเมามายไร้สติ รอจนเขาตื่นในตอนเช้า จากนั้นจึงลงมือสัมภาษณ์เขาอย่างละเอียดถึง 3 วัน 3 คืน ยิ่งกว่านั้นยังขยายผลไปหาข้อมูลจากฝ่ายหญิงจนกลายเป็น ‘ผู้ชายเหมือนระเบิด’ ในที่สุด
‘ผู้ชายเหมือนระเบิด’ จึงเป็นนิยายที่เกิดขึ้นจากชีวิตจริงและมีลมหายใจดำเนินอยู่ในปัจจุบัน จนเราแอบสงสัยว่าหวงเยวี่ยนมีโครงการจะลองทำภาคสองเป็นเรื่องราวต่อจากหนังสือหรือไม่
น่าเสียดายที่เวลามีจำกัดจึงไม่มีโอกาสถามเพราะหลังจากจบงานหวงเยวี่ยนต้องรีบขึ้นเครื่องไปไต้หวันตอนห้าโมงกว่าๆ แต่ก่อนไปเขาให้สัญญาว่าจะกลับมาเล่าเรื่องราวน่าสนใจของเขาใหม่ เมื่อเวลาเอื้ออำนวย
‘ผู้ชายเหมือนระเบิด’(Happiness is coming)นิยายรักจากเรื่องจริงไม่อิงนิยาย
รายงานโดย: วรวิช ทรัพย์ทวีแสง / ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 พฤษภาคม 2552
‘ผู้ชายเหมือนระเบิด (ความสุขกำลังจะมา)’ ฟังชื่อแล้วกระเดียดไปทางหนังสือรวมบทความแฉผู้ชาย ผลงานของนักเขียนหญิงฝีปากจัดจ้านซึ่งถูกผู้ชายทิ้งระเบิดใส่แล้วจากไป เหลือไว้เพียงความเจ็บปวดที่ฝังใจจึงต้องหาทางระบายออกมา จนกลายเป็นหนังสือแฉเรื่องจริงของผู้ชายเล่มนี้ อะไรทำนองนั้น
ก่อนที่จะเตลิดไปมากกว่านี้ต้องขอหยุดจินตนาการเกี่ยวกับชื่อไว้เพียงเท่านี้ เพราะนี่คือชื่อของนิยายรักสัญชาติไต้หวันผลงานของนักเขียนหนุ่มนามว่า ‘หวงเยวี่ยน’ แต่หากจะขนานนามเขาให้ถูกต้องสำหรับการทำงานในหนังสือเล่มนี้ เขาคือ ‘ผู้บันทึก’ มากกว่า เนื่องจากเรื่องราวและเหตุการณ์ในหนังสือเล่มนี้ถูกถอดความมาจากเรื่องจริงถึง 95 เปอร์เซ็นต์มีเพียงชื่อตัวละครบางตัวเท่านั้นที่เจ้าตัวอยากให้ปกปิดไว้ด้วยนามแฝง
เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้เขาได้มาจากเด็กหนุ่มในบาร์แห่งหนึ่ง ซึ่งกำลังเมาแอ๋พลางสบถสาบานโอดครวญถึงความเลวร้ายอันน่าอัปยศอดสูว่า ตนสมควรชดใช้กรรมที่ตนเองได้ก่อไว้ด้วยชีวิต หวงเยวี่ยนซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลเกิดความสงสัยจึงซักถามถึงเรื่องราวที่เป็นต้นสายปลายเหตุ
เด็กหนุ่มผู้นั้นเล่าเรื่องราวของเขาด้วยอาการเมาโดยที่ไม่ทราบว่า กำลังส่งเรื่องราวนั้นให้กับนักเขียนผู้กำลังหาพล็อตเรื่องดีๆ เพื่อเขียนนิยายสักเรื่อง ซ้ำยังเป็นนักจิตบำบัดผู้รับฟังปัญหาของผู้อื่นมานักต่อนักแล้ว เขายังคงระบายความกลัดกลุ้มอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งมาถึงตอนที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มพอดิบพอดีเด็กหนุ่มผู้นั้นก็เมาสลบคาโต๊ะด้วยพิษสุรา
หวงเยวี่ยนตัดสินใจพาเด็กหนุ่มกลับไปยังที่พักของตนเองและหวังว่าเมื่อเขาตื่นขึ้นจะได้รับฟังเรื่องราวที่กำลังเข้มข้นนั้นต่อ แต่เด็กหนุ่มกลับจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่บาร์เมื่อคืนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แถมยังระแวงว่าที่หวงเยวี่ยนพาเขากลับมานั้นได้ทำมิดีมิร้ายเขาไปแล้วหรือเปล่า แต่เมื่อได้ฟังเรื่องราวที่เขาโวยวายเสียงดังจนคนในร้านจะพากันรำคาญ เด็กหนุ่มจึงเข้าใจสถานการณ์ของตนเอง
ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงเล่าเรื่องราวชีวิตของเขาโดยละเอียดจนเมื่อทราบในภายหลังว่าหวงเยวี่ยนเป็นนักเขียนจึงยินดีให้ถ่ายทอดเรื่องราวของเขาออกมาเป็นหนังสือ เมื่อหวงเยวี่ยนฟังจบเขาตัดสินใจที่จะแกะรอยเบาะแสจากเรื่องราวนั้นเพื่อตามหาผู้หญิงที่เกี่ยวข้องกับเด็กหนุ่มจนเจอ และเรื่องราวอีกครึ่งหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ก็ออกมาจากปากของเธอ(ที่มาของเรื่องราวเหล่านี้ถอดความจากคำสัมภาษณ์ของหวงเยวี่ยนในวันเปิดตัวหนังสือภาคภาษาไทย จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ ฟรีฟอร์ม โดยมีคุณ ‘อนุรักษ์ กิจไพบูลทวี’ ผู้แปลหนังสือเล่มนี้เป็นล่าม)
เรื่องราวมะรุมมะตุ้มของความรักที่เกิดขึ้นในโลกยุคดิจิตอลเรื่องนี้ ความบังเอิญต่างๆ ที่เกิดขึ้น หากเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นผู้อ่านคงส่ายหน้าให้กับผู้ประพันธ์ว่า เป็นนักเขียนที่ช่างจินตนาการถึงเรื่องความรักที่เป็นไปไม่ได้เอาเสียเลย ไม่ต่างอะไรกับความเพ้อฝันของคนที่จมอยู่ในจินตนาการอันลวงตาของความรักจนขาดสติ ทว่าทั้งหมดนี้คือเรื่องจริง จึงทำให้ผู้อ่านมองนิยายหรือบันทึกความจริงเล่มนี้ด้วยสายตาที่ต่างออกไป ทำให้ติดตามเรื่องราวแบบอยากได้ใคร่รู้ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป สุดท้ายแล้วเรื่องทั้งหมดจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน
แต่ที่แตกต่างจากนิยายเรื่องอื่นๆ ก็คือ ผู้อ่านย่อมเกิดความติดค้างสงสัยหลังจากที่อ่านจบว่า ชีวิตจริงของบรรดาผู้คนที่อยู่ในหนังสือนั้นหลังจากสิ้นสุดบรรทัดสุดท้ายที่หวงเยวี่ยนบันทึกไว้แล้วได้ดำเนินต่อไปอย่างไร ไม่ต้องเอ่ยอ้างถึงอารมณ์ความรู้สึกที่บรรจุอยู่ในหนังสือเล่มนี้ เพราะมันก็ผสมปนเปทั้งสุข ทุกข์ เศร้า เหงา รัก คิดถึงคะนึงหา เจ็บปวด บอบช้ำไม่เกินเลยความจริงของชีวิตไปได้เลย
ภาษาเขียนที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อนและการแปลประโยคบทสนทนานั้นได้ถอดความออกมาเป็นคำแสลงและคำพูดดิบๆ ที่เราๆ ท่านๆ ใช้กันเป็นกิจวัตรในหมู่เพื่อนฝูง จึงทำให้เห็นภาพตัวละครหลักๆ ซึ่งยังถือว่าอยู่ในช่วงอายุวัยรุ่นได้ชัดเจน และด้วยความที่เด็กหนุ่มเป็นนักศึกษาปริญญาโทสาขาปรัชญา เขาจะมีแง่คิดบางอย่างที่ทำให้ผู้อ่านได้เก็บเอาเป็นข้อคิดหรือคำคมติดตัวกลับไปไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
สรุปแล้วหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องรักน้ำเน่าประโลมโลก แต่ยังเป็นดั่งกระจกบานใหญ่ส่องสะท้อนสังคมอันสลับซับซ้อนและไม่สมประกอบ ที่มักเล่นตลกกับชีวิตและความรู้สึกของผู้คนในสังคมจนบอบช้ำไม่ต่างจากเรื่องราวในนิยายที่ใครๆ ว่าน้ำเน่าเลย
..........
ผมชื่อหวงเยวี่ยน
เป็นคนธรรมดาสามัญที่ช่างฝัน
ชอบอ่านหนังสือ เป็นหนอนหนังสือตัวยงในสายตาของคนอื่น
ชอบดนตรี ชอบร้องเพลง ชอบดูหนัง ชอบละครเวที ชอบท่องเที่ยว ชอบของอร่อย เงินออมส่วนใหญ่ในชีวิตของผม หมดไปกับงานอดิเรกที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ทำให้จนบัดนี้ผมยังเป็นนายไส้แห้ง แต่ผมไม่แคร์ เพราะการทุ่มเทตนเองให้กับชีวิต ทำให้ผมรู้สึกได้เป็นมนุษย์เต็มตัว ไม่ใช่ทาสของโลกแห่งความจริง
ผมขับรถเร็วมาก แต่หลังจากเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงครั้งหนึ่ง ผมก็ไม่ขับรถอีกต่อไป เพราะตระหนักได้ว่าชีวิตมันเปราะบางเกินกว่าจะทนรับการปะทะใดๆ ดังนั้นต้องตั้งใจถนอมรักษาให้ดีๆ
....
.....
....
ผมกำลังก้าวไปสู่จุดหมายของตนเอง มันคือที่ไหนหรือ ตราบใดที่ยังไปไม่ถึง ก็คงไม่มีวันรู้ แต่ผมมั่นใจว่ามันจะต้องเป็นสถานที่ที่งดงาม กว้างไพศาลและอุดมสมบูรณ์ ผมเชื่อเช่นนั้น คุณก็ต้องเชื่อ มิเช่นนั้น หากเราปฏิเสธอนาคตเสียตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้น ยอมแพ้ตั้งแต่ในมุ้ง
.........
ความสุขอยู่ที่ไหน ความสุขกำลังทำอะไร หรือความสุขนอนเปลือยกายอยู่ข้างๆ! “ความสุขกำลังจะมา” และ “ความสุขมาแล้ว!” เป็นรหัสลับสำหรับส่งข้อความสั้นของผมกับ anneshu หมายความว่าคนรักอยู่ข้างๆ จงอย่าตามตัวฉัน เพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิด
....
แล้ว anneshu เกี่ยวข้องกับผมอย่างไรหรือ พูดแล้วก็น่าขำ ครั้งแรกที่พบกับ anneshu เธอก็ชกผมจนเลือดกำเดาไหล และ “เลือดกองนั้น” นั่นเอง ทำให้ anneshu กับผม ถูกลิขิตให้เป็นดาวเคราะห์ของกันและกัน!
....
แต่เพราะเราทั้งคู่ต่างก็มี “ความสุข” อยู่เคียงข้างแล้ว anneshu จึงนึกสนุก สั่งให้ผมไปยืนสาบานกับพจนานุกรมเล่มโตต่อหน้าคุณอาแมคโดนัลด์ว่า “ขอผูกมิตรภาพต่างเพศตลอดกาล ไม่เจือปนความรักฉันหนุ่มสาว มิเช่นนั้นขอให้หนังสือเล่มที่ถืออยู่ตกใส่กบาล”
....
เฮ้อ สาวงามมายืนตรงหน้า แต่ทำได้แค่ดูเฉยๆ ห้ามกิน เสียชื่อ “ปีศาจมนุษย์” ของผมจริงๆ! แต่หลังจากตกหลุมรักกับสูเฟินแล้ว ผมตัดสินใจว่า นอกจากจะได้พบกับ “ผู้หญิงที่ดีมาก” เท่านั้น ใจผมจึงจะไขว้เขวอีกได้ มิเช่นนั้นผมจะไม่ขอนอกใจอีกเลยตลอดชีวิต!
แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ไอ้เจียหงเพื่อนเกลอซี้ปึ้กของผมที่มีฉายาว่า “จอมกะล่อนศิษย์ส่ายหน้า” กลับยอมล้างมือในอ่างสีชมพูเพื่ออำลาวงการ เพื่อเดินทางสู่เส้นทางแห่งความรัก เขาหลงรักกับผู้หญิงเพอร์เฟคท์คนหนึ่งที่ใช้ชื่อในอินเตอร์เน็ตว่า ว่า “นกกุ๊กกู” ซ้ำยังใช้ให้ผมออนไลน์เพื่อไปล่อลวงเธอ ผลสุดท้ายคือนกกุ๊กกูประกาศตนว่าจะขับขานเสียงเพลงอันไพเราะของเธอให้กับไอ้เจียหงแต่เพียงผู้เดียว
....
ระหว่างชายกับหญิง มีมิตรภาพที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริงหรือไม่ ผมกับ anneshu กำลังถูกท้าทายอยู่บนริมขอบของพรมแดน คำสัญญาของความรักนิรันดร์ มันไปได้ไกลที่สุดแค่ไหน เจียหงกับนกกุ๊กกู anneshu กับแฟนหนุ่ม ผมกับสูเฟิน ทุกคนกำลังทดสอบ เราต่างก็แสวงหาความสุข แต่เมื่อความสุขกระโจนเข้าหาตรงหน้า มันจะทำให้ตกอกตกใจ จนทำตัวไม่ถูกหรือนะ
.......
คำว่า "ประหลาด" ยังไม่พอสำหรับบรรยายลักษณะของหวงเยวี่ยน เขาช่วยงานอยู่บันทึกเสียงอยู่ในห้องอัดตั้งแต่ห้าขวบ ทำให้เขามีประสาทสัมผัสทางด้านดนตรีระดับเทพ สมัยเรียนมัธยมเคยไม่พูดไม่จาถึงครึ่งปีเต็ม ซ้ำยังเคยเดินรอบสนามหญ้าเป็นเวลาแปดคาบเรียนเพราะขบคิดข้อสัยเกี่ยวกับชีวิต! ชอบอ่านหนังสือถึงขั้นบ้าหนังสือ จนขณะนี้สะสมจำนวนหนังสือที่อ่านจบแล้วมากกว่าหมื่นเล่ม โดยเฉพาะเป็นแฟนพันธุ์แท้หนังสือการ์ตูน เพียงคุณบอกสโลแกนคำหนึ่งกับเขา เขาก็จะบอกที่มาของมันได้ทันที
.............
ประสบการณ์ทำงานของหวงเยวี่ยนก็ พิสดารไม่แพ้กัน เป็นทั้งพี่ชายนักนักเล่านิทาน ที่ปรึกษาทางจิตวิทยา ผู้ตรวจการแผนงานออกแบบงานศิลป์ นักวิจัยประจำมูลนิธิ... แต่จิตใจที่ฝักใฝ่ในวรรณกรรม ทำให้เขาตัดสินใจทุ่มเทให้กับงานเขียน เขานิยามตนเองว่า "ผมไม่ใช่คนธรรมดา แต่ผมเป็นระเบิด!" รวมทั้งบอกเต็มปากเต็มคำว่า งานเขียนทุกเรื่องของเขา "ล้วนมาจากเรื่องจริง"
剪刀石頭布 ฆ้อน กรรไกร กระดาษ(สร้างเป็นซีรี่ส์ดัง
子夜,天神也來喝咖啡 เที่ยงคืน...เทพเจ้าดื่มกาแฟ
遙不可及的悲憐 ความโศกเศร้าที่อยู่ไกลเกินเอื้อม
九局下,追愛開始 ความรักกำลังจะเริ่ม
幸福來了
ผู้ชายเหมือนระเบิด (ความสุขกำลังจะมา)
อนุรักษ์ กิจไพบูลทวี
เกิดในครอบครัวคนจีนที่อาม่ายังรู้ภาษาแต้จิ๋ว ถูกส่งไปโตในประเทศต่างๆ ที่ใช้ภาษาจีนด้วยเหตุผลทางศาสนา กลับมาถึงเมืองไทยก็ทำหน้าที่เป็นล่ามอาสาของมูลนิธิต้นสังกัด สอบเทียบการศึกษานอกโรงเรียนจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยหัวเฉียว (ประเทศจีน) ผ่านวิทยสถานแห่งวัฒนธรรมตะวันออก สอบวัดระดับความรู้ภาษาจีน HSK ได้ระดับ 11 และเป็นคะแนนสูงสุดของประเทศ เริ่มแปลหนังสือตั้งแต่ปี 2547 ควบคู่ไปกับการสอนพิเศษภาษาจีน เลือกแปลเฉพาะหนังสือที่ตนรัก เพราะเชื่อว่าคนอื่นก็จะรัก
คติประจำใจ
ทำในสิ่งที่ชอบ อย่าทำถ้าไม่ชอบ จงชอบในสิ่งที่ทำ แล้วทำให้ดีที่สุด
ประวัติการทำงาน
ล่ามอาสาสมัครของมูลนิธิสถานธรรมเสียงทิพย์
อาจารย์พิเศษภาษาจีน ศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีนสิรินธร มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (ศูนย์กรุงเทพฯ)
อาจารย์พิเศษภาษาจีน ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาภาษาต่างประเทศ
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า ปีการศึกษา 2548-2550
วิทยากรพิเศษ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ในรายวิชา พัฒนาการอักษรจีน ปีการศึกษา 2549
ปัจจุบันแปลแต่หนังสือและรับสอนพิเศษเล็กๆ น้อยๆ ประทังชีวิต ^^
จากใจผู้แปล:
“มิตรภาพบริสุทธิ์ ระหว่างชายกับหญิง มีจริงหรือ” ต้องยอมรับว่าคำถามนี้เคยติดใจตัวผมมาก่อน เมื่อแรกเห็น ‘ความสุขกำลังจะมา’ ฉบับภาษาจีน จึงขอให้คนรู้จักที่ไต้หวัน กรุณาหิ้วติดมือกลับมาให้หน่อย และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้จักกับ หวงเยวี่ยน
ขออนุญาตกล่าวถึงความเรื่องมากของการเลือกสรรงานแปลให้กับตัวเองสักหน่อย กล่าวคือเมื่อจะนำเสนอหนังสือหนึ่งเรื่อง ผมจะต้องตอบโจทย์ตัวเองได้ว่า ผมแปลหนังสือเล่มนี้ทำไม สิ่งที่นักเขียน “อยากบอก” ผู้อ่าน มันถูกจริตผมหรือไม่ และสิ่งสำคัญคือ ชั่วระยะเวลาอาจจะหนึ่งเดือนหรืออาจจะหลายเดือน หรือแม้กระทั่งหลายๆ เดือนที่ผมต้องขลุกอยู่กับการแปลหนังสือเล่มนั้น ผมจะมีความสุขกับมันหรือเปล่า ชีวิตที่หายวับไปช่วงนั้น มันคุ้มค่าหรือ
“ความสุขกำลังจะมา” เป็นเล่มที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานยิบย่อยของผมจนฉลุยครับ
อย่าให้ต้องพรรณนาเลยครับ ว่าทำไมผมจึงรักนักเขียนท่านนี้ เชิญท่านผู้อ่านเปิดใจร่วมเดินทางเข้าไปในโลกนิยายของเขาด้วยตัวเองดีกว่า เผลอๆ คุณอาจจะตกใจ ว่าตัวคุณเองหลุดไปอยู่ในนิยายของหวงเยวี่ยน ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เหมือนอย่างที่ผมเคยเป็น
ขอบคุณ พี่ภานี ลอยเกตุ ที่กรุณาแนะนำให้รู้จักกับสำนักพิมพ์ฟรีฟอร์ม และขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีฟอร์ม ที่เห็นดีเห็นงามด้วย กับการนำเสนอนิยายรักรสแปลกอีกเล่มที่ผมภูมิใจ
ขอบคุณเพื่อนๆ ที่ช่วยตรวจทานการใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง และขอบใจลูกศิษย์หลายๆ คนที่นอกจากจะช่วยพิสูจน์อักษรแล้ว ยังช่วยพิสูจน์มุข ว่าฮามากหรือฮาน้อย ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นกำลังใจที่ให้ผู้แปล ทราบว่ากำลังมุ่งไปถูกทาง
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่าน ที่กรุณาให้เกียรติ ร่วมเดินทางพิสูจน์รักแท้ไปด้วยกัน นับจากหน้านี้เป็นต้นไป
ด้วยรัก
อนุรักษ์ กิจไพบูลทวี
幸福來了
ผู้ชายเหมือนระเบิด
(ความสุขกำลังจะมา)
สารบัญ
One
โดนัท เลือดกำเดา ผ้าเช็ดหน้าและพิธีการของความสุข
Q1: กบเคโระกับ Burberry มันต่างกันขนาดนั้นเชียวหรือ
Q2: babywhite มีสิทธิ์ถูกปิศาจมนุษย์เปิดประตูหัวใจได้หรือไม่
Q3: ทำไมฉันจึงพูดจาแบบเดียวกับ anneshu จอมประหลาดนั่นได้นะ
Two
ท่ามกลางสถานการณ์แสนพิลึก
ปริศนาความซึมเศร้าเหงาทุกข์ของกามูส์
Q1: ใครคือแพะที่ถูกความสุขชุบเลี้ยงจนแสนเชื่อง?
Q2: ขัดขวางผู้อื่นตามล่าหารักโดยอิสระคือปิศาจ?
Three
ระเบิด น้ำหมึก
ลาเต้ที่ดื่มไม่หมด
Q1: เยอะมากนิดนึงก็คือเยอะมากๆ?
Q2: ฉันคือคนทรยศที่แสร้งเศร้าซึม?
four อาการช๊อกจนเบลอ ที่ถูกถอดเป็นสีชนิดหนึ่ง
Q1: นิยามของศีลธรรมกับผิดศีลธรรม?
Q2: หญิงชั่วชายโฉด ไม่สามารถอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข?
Q3: ความสุขเก็บเอาไว้ในพินัยกรรม?
One
โดนัท เลือดกำเดา ผ้าเช็ดหน้าและพิธีการของความสุข
Q1: กบเคโระกับ Burberry มันต่างกันขนาดนั้นเชียวหรือ
Q2: babywhite มีสิทธิ์ถูกปิศาจมนุษย์เปิดประตูหัวใจได้หรือไม่
Q3: ทำไมฉันจึงพูดจาแบบเดียวกับ anneshu จอมประหลาดนั่นได้นะ
...
ฉบับทดลองอ่าน [การแบ่งวรรคตอนในการลงบล็อกยังไม่ค่อยดีนัก ทีมงานจะทยอยแก้ไข ต้องขออภัยล่วงหน้ามา ณ ที่นี้]
นี่เป็นคำพูดที่ผมได้ยินก่อนที่เลือดสีแดงฉานจะไหลออกมาจากรูจมูกของผม คนที่พูดประโยคดังกล่าว เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง ผมเห็นเธอชัดเจนเต็มๆ สองตาหลังได้สติกลับมาจากความเจ็บปวดตรงดั้งจมูกคละเคล้าน้ำตาที่พร่ามัว
เมื่อไม่กี่นาทีก่อน ในมือของผมยังถือโดนัทร้อนๆ สองชิ้นที่เพิ่งทอดขึ้นมาจากกระทะ เตรียมตัวเดินไปพลาง ลิ้มชิมน้ำตาลไอซิ่งขาวสะอาดบนเนื้อแป้งที่ฟูนุ่มไปพลาง ปล่อยให้ความรู้สึกอุ่นอิ่มและรสสัมผัสสากลิ้นที่ยากจะอดใจไหว คับแน่นไปทั้งปาก
ผมก็ต้องเดินก้มหน้าสิครับ ไม่อย่างนั้นจะกินได้อย่างไร
ถนนซินเซิงตอนใต้? โฮก! ต่อให้ต้องปิดตาเดินผมก็สามารถคำนวณสภาพถนนละแวกนี้ได้ทุกตารางนิ้ว แม้แต่ระยะห่างของพื้นที่ ผมยังสามารถระบุตำแหน่งออกมาได้ไม่มีผิดเพี้ยน ดังนั้น อย่าว่าแต่ก้มหน้ากินโดนัทเลย ต่อให้ผู้คนหนาแน่นยิ่งกว่าตอนนี้สิบเท่า แล้วผมก้มหน้าโซ้ยเต้าฮวยหรือก๋วยเตี๋ยวชามหนึ่งแบบไม่เงยหน้า ก็ยังสามารถลัดเลาะเดินฝ่าได้โดยอิสระ ไม่มีกระฉอกหกออกมาแม้แต่หยดเดียว ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วย
แต่ว่า สี่ตีนยังรู้พลาด กินขนมโรยงามีหรืองาจะไม่ร่วง พึงรู้ไว้เถิดว่า แม้แต่ถุงยางอนามัยยังมีโอกาสพลาดถึง 3%
ใช่แล้ว คราวนี้ผมพลาด
ขณะนั้นผมอยู่ห่างจากประตูร้านแมคโดนัลด์ประมาณสี่สิบช่วงตัวคน เป้าหมายของผมคือฝั่งตรงข้ามของทางม้าลายตรงทางเลี้ยวซ้ายด้านหน้า แล้วเดินต่อไปยังประตูบานเล็กๆ อีกห้าก้าวถัดไป ขณะที่ผมเดินอยู่บนถนนซินเซิงตอนใต้ในฤดูร้อนที่แสนอบอุ่น และอารมณ์ที่เบิกบาน เพิ่งจะกัดโดนัทได้ประมาณหนึ่งในสิบ เทียบเท่ากับปริมาณความหอมหวานราคาหนึ่งหยวนโดยประมาณ ผมรู้สึกถึงแรงปะทะอย่างแรง
“ไอ้หน้าโง่เดินไม่ดูตาม้าตาเรือคนไหนกันนะ เดี๋ยวแม่แจกอัพเปอร์คัตให้สักหมัดแล้วจะรู้สึก”
ใช่ครับ อย่างที่คุณเห็น คำพูดยาวยี่สิบเจ็ดพยางค์คำนี้ เคยปรากฏมาก่อน แต่ผมจำเป็นต้องย้ำมันอีกครั้ง เพราะมันเป็นหัวใจของเรื่อง
อุบัติเหตุบนท้องถนนรายหนึ่งได้เกิดขึ้นแล้ว คนสองคนที่เดินสวนทางกันชนกันอย่างจัง ฝ่ายหญิงตะโกนด่าคนแปลกหน้าที่เดินถนนไม่มองทางอย่างเกรี้ยวกราด พูดไม่พูดเปล่าซ้ำยังทำมือประกอบคำพูดเสยหมัดอัพเปอร์คัตเข้าเต็มแรง ส่วนผมหลังจากตะลึงกับเหตุการณ์กะทันหัน รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง จึงก้มตัวลงโดยเจตนาโค้งคำนับกล่าวคำขอโทษ มือเล็กๆ ของเธอเสยขึ้น หัวโตๆ ของผมก้มลง และแล้วอุบัติเหตุบนท้องถนนอีกรายหนึ่งจึงเกิดขึ้นซ้ำซ้อน คู่กรณีคือจมูกของผมกับหมัดขวาของเธอ ดังนั้น เรื่องเล็กขี้ประติ๋วที่เป็นการ kiss อย่างไม่ตั้งใจ จึงลุกลามรุนแรงถึงขั้นเสียเลือดเสียเนื้อ
“ขอโทษค่ะ ฉันนึกไม่ถึงว่าจะต่อยโดนจริงๆ ฉันแค่ทำท่าไปอย่างนั้นเอง”
เธอรีบหยิบกระดาษทิชชู่ออกมาช่วยเช็ดปลายจมูกให้ผม ปริมาณเลือดที่ไหลดูเหมือนจะน่ากลัวอย่างที่เธอคาดไม่ถึง จนเธอพบว่ากระดาษทิชชู่หนึ่งห่อไม่ได้ช่วยห้ามเลือดให้ผมสักเท่าไหร่ จึงใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนที่กำอยู่ในมือซ้าย อุดจมูกของผมไว้
“คุณผู้หญิง ทำแบบนี้ไม่ได้หรอก! เอาเขาไปนั่งพักข้างทางก่อน เงยหน้าเอาไว้ เดี๋ยวก็หาย”
คนเดินถนนช่วยออกความเห็น
ถัดมาเธอก็พยุงผมไปนั่งลงตรงข้างทาง แล้วสั่งให้ผมเงยหน้าสูงๆ
ผมนะหรือ
ทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหันมาก นอกจากความเจ็บปวดแล้ว ผมไม่เหลือความคิดวิเคราะห์ใดๆ อีก จึงต้องปล่อยให้เธอบงการทุกอย่าง นั่งลงอย่างว่าง่าย รอคอยให้ความเจ็บปวดค่อยๆ ทุเลาลงอยู่เงียบๆ
“ขอบคุณครับ ดีขึ้นมากแล้ว” คำตอบของผมเจือปนเสียงอู้อี้ขึ้นจมูก
ขณะที่รู้สึกว่าในรูจมูกเหมือนกับมีก้อนอะไรนิ่มๆ อุดเลือดกำเดาเอาไว้ ความรู้สึกเจ็บแปลบที่ทิ่มตรงเข้าเส้นประสาทเมื่อครู่มันเบาบางลงไปเยอะแล้ว
นั่งอยู่กับพื้น ขาข้างหนึ่งงอ ขาข้างหนึ่งเหยียด ศีรษะเงยขึ้นพิงกับกำแพง ในหน้าร้อนเช่นนี้ แม้จะเป็นภาพที่เท่ไม่หยอก อีกทั้งให้ความรู้สึกโทรมเซอร์แบบน่าหลงใหล แต่ทว่า บนหน้ามีผืนผ้าสี่เหลี่ยมสีกาแฟผืนหนึ่งคลุมไว้ บนผืนผ้ายังชุ่มไปด้วยหยดเลือด ข้างๆ มีหญิงสาวอีกคนนั่งยองๆ จ้องมองด้วยสายตาสงสารระคนสังเวช ทุกอย่างมันจึงเหลือเพียง...
หน้าแตก อับอาย ขายขี้หน้า อารมณ์และความรู้สึกเหล่านี้ สะท้อนไปมาอยู่ข้างในใจของผม
ดังนั้นเมื่อผมกล่าวขอบคุณเธอเสร็จ ตามด้วยกล่าวคำขอโทษซ้ำอีกครั้ง ก็รีบลุกขึ้นจากพื้น ตบฝุ่นบนตัวออก เตรียมพร้อมหลบหนีไปจากสถานที่ที่บั่นทอนกำลังใจชายชาตรีของผมแห่งนี้ไปให้พ้นๆ
“โดนัทของคุณ?”
เธอหยิบถุงโดนัทที่ดูไร้บุญวาสนากับผมสองชิ้นนั้นขึ้นมาถาม
“อ้อ! ขอบคุณครับ”
ความจริงแล้ว ต่อให้โดนัทของผมมันยังหวานนุ่มหอมกรุ่นอยู่ก็เถอะ มันก็ไม่ทำให้ผมเกิดความอยากที่จะกินมันอีกต่อไปแล้ว แต่ว่า ผมก็ยังไม่ใจร้ายพอที่จะโยนเจ้าชิ้นเล็กๆ ที่เพิ่งเกิดออกมาบนโลกได้ไม่นานทิ้งไป
ดังนั้นผมจึงยื่นมือออกไปรับมา ย่างเท้าก้าวเดินข้ามถนนตรงเข้าไปในเขตรั้วมหาวิทยาลัย
เคราะห์ดีที่ไม่มีคนรู้จักเห็นเข้า ผมแอบถอนหายใจยาวๆ เพราะถึงอย่างไรฉากนั้นมันก็น่าขายหน้าเหลือเกิน เพียงพอสำหรับให้พวกผู้ชายไร้สาระทั้งกลุ่มเปิดกระทู้ใหม่ในห้องแชตแล้วก็แซวผมได้ตลอดทั้งวัน
@@@
“คุณมีเมล์ใหม่”
บริเวณมุมขวาล่างของวินโดว์ ทุกวันจะมีรูปซองจดหมายเล็กๆ โชว์เอาไว้ เตือนใจให้ผมอย่าลืมทำอะไรที่เป็นการติดต่อสื่อสารกับคนอื่นบ้าง พร้อมกับป่าวประกาศให้รับรู้ทั่วกัน ว่าผมยังมีชีวิตอยู่
จดหมายที่ได้รับในวันนี้ได้แก่
1. อาณาจักรแห่งหนัง av รายการหนังเข้าใหม่ประจำเดือนสิงหาคม 2003 (ขอร้องเหอะ หนังโป๊เขามีไว้โหลด ไม่ได้มีไว้ซื้อ)
2. แผ่นรวมเกมอันดับหนึ่งของโลกออกใหม่! (เหมือนข้อบน)
3. เว็บไซต์ขายสินค้าทางอินเทอร์เน็ต สะดวกและประหยัด GOGOGO (พระเจ้า! เครื่องใช้ไฟฟ้าราคาพิเศษ หยุดยั่วยวนฉันสักทีได้ไหม)
4. จดหมายส่งต่อหัวข้อต่างๆ (ดูดวง แบบทดสอบ บทความให้กำลังใจ ภาพวิว ภาพหวิวเซ็กซี่คัดสรรพิเศษ)
6. 7. 8... เหมือนกับข้อบน บันทึกไม่หวาดไม่ไหว
ขณะที่ผมกำลังจิ้มเมาส์กดลบอย่างสนุกสนานนั่นเอง ในที่สุดผมก็เจอจดหมายฉบับที่สิบเอ็ด จากอีเมล์อันที่สี่ เป็นจดหมายที่ส่งมาจากคนเป็นๆ
ผู้ส่ง สงครามระหว่างความรักกับเพศสัมพันธ์
วันที่ 7 พฤษภาคม เวลา 02:49
ผู้รับ ปิศาจมนุษย์
หัวข้อ ตัดสินใจมีความรัก
ปิศาจมนุษย์ กูมีความรักแล้ว ไม่ต้องตกใจ กูไม่ได้มาสารภาพรักกับมึง ถึงแม้ว่ากูก็ต้องยอมรับ และมึงเองก็รู้อยู่แก่ใจดีว่ากูรักมึง แต่ระหว่างมึงกับกูมันมีช่องว่างและอุปสรรคที่มิอาจก้าวข้ามขวางกั้นเอาไว้ อุปสรรคนี้ นอกจากชะตาลิขิตแล้ว กูยอมรับว่าเป็นความผิดของกูเอง ถึงแม้มันจะเป็นแค่ก้อนเนื้อก้อนเดียวในตัว แต่ของกูกลับใหญ่กว่า แข็งกว่า อึดกว่ามึงนัก เรื่องนี้มึงเป็นคนทำตัวเอง แม่น้ำและคลองโคลนของมึงมันโสโครกเกินไป ไม่ว่าใครก็ไม่มีวันว่ายข้ามมาได้
มึงต้องรู้อยู่แล้วว่ากูพูดถึงอะไรอยู่ เพราะมึงเป็นปิศาจนี่หว่า ฮ่าฮ่า!
ไม่พล่ามแล้ว
ที่รัก กูตัดสินใจกลับมามีรักแท้อันร้อนแรงอีกครั้งหลังจากเลิกราไปถึงสองปีเต็ม มึงไม่ต้องตอบจดหมายกูโดยการแสดงความยินดีว่าในที่สุดกูก็ตกลงปลงใจอยู่กินกับแอนนี่หมายเลขหนึ่งของกูจนชั่วชีวิต พร้อมกับอาสาจะเป็นพ่อบุญธรรมให้กับผลึกแห่งความรักของพวกกูหรอกนะ คนที่กูรักเป็นคนเป็นๆ โว้ย อีกอย่างน้องแอนนี่เป็นคนในครอบครัวของกู ถึงแม้เธอจะเป็นโมเดลอานาโตมีเท่านั้น แต่สำหรับกูแล้ว เธอเท่ากับเป็นคนในครอบครัวของกู ห้ามมึงเอาเธอมาล้อเล่นเด็ดขาด
บอกข่าวนี้กับมึงอย่างเป็นทางการ เพราะรอคำอวยพรจากใจจริงของมึง
ปล.
ต่อไปนี้คือการแสดงความแน่วแน่ของกู---ฮาร์ดดิสก์ขนาด 80 G ลูกที่สองของกูฟอร์แมตเกลี้ยงเกลาราบเรียบแล้ว แผ่นซีดี ดีวิดีปลุกใจเสือป่าทั้งหมดถูกเก็บซ่อนเอาไว้ในสถานที่ลึกลับอย่างปลอดภัย
เจียหง
คิดไม่ถึงว่าไอ้เพื่อนตายสมัยม.ปลายที่มีฉายาว่าจอมลามกศิษย์ส่ายหน้า จะตัดสินใจล้างมือจากวงการไปตามหารักแท้ หลังจากเมื่อสองปีก่อน ประสบเหตุอกหักรักร้าวครั้งรุนแรง มันได้สาบานตนไว้ว่าชั่วชีวิตนี้จะขอเสพสุขอยู่กับการผิดลูกผิดเมียชาวบ้าน จนกว่าน้ำยาจะแห้งตาย ทำไมมันเกิดเปลี่ยนแปลงถึงขั้นกลับตาลปัตรได้ถึงขนาดนี้ หรือว่าดาวคณะวิทยาลัยแพทย์จงซันคนนั้นที่มันฝันถึงเสมอ ในที่สุดก็เปิดใจให้กับมันแล้ว หรือจะเป็นเพื่อนลึกลับทางอินเทอร์เน็ตที่ชื่อนกคักคูคนนั้น เจาะเปลือกมนุษย์ของมัน ช่วยจิกตัวปรสิตโสโครกที่เกาะติดหัวใจของมันออกหมด จนตอนนี้ความเน่าเริ่มหาย เนื้อดีเริ่มงอก?
ไม่ว่าคำเฉลยของปริศนาท้ายที่สุดจะเป็นใครก็ตาม ในฐานะของเกลอซี้ เห็นทีจะต้องรีบตอบจดหมายส่งคำอวยพรกลับไปโดยเร็ว
..........
ผู้ส่ง ปิศาจมนุษย์
วันที่ 7 พฤษภาคม เวลา 15:00
ผู้รับ สงครามระหว่างความรักกับเพศสัมพันธ์
หัวข้อ Re ตัดสินใจมีความรัก
ไปตายเถอะมึง! นอกจากน้องแอนนี่แล้ว กูไม่ยอมรับใครอีกทั้งนั้น ปฏิเสธรับเมล์โม้